เพราะเรื่องเงินยากเสมอ ยิ่งศึกษาเข้าไปก็จะถึงเห็นความซับซ้อนและเข้าถึงยาก จนบางคนถึงกับถอดใจที่จะเรียนรู้ แต่อย่างไรเสียเรื่องราวเหล่านี้จะผูกพันกับชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดไปจนตายเป็นสัจธรรม ทั้งเรื่องภาษีเอย สินเชื่อเอย รีไฟแนนซ์เอย การลงทุนเอย การออมเอย ทั้งหมดล้วนฟังแล้วไม่มีทางเข้าใจตั้งแต่ครั้งแรก และดูเหมือนว่าจะต้องมีใครสักคนมาช่วยทำให้ชั้นเชิงของสิ่งเหล่านี้คลี่คลายจนง่ายขึ้น
และนั่นเองคือจุดกำเนิดของธุรกิจที่ชื่อ ‘Refinn’ ธุรกิจที่รวบรวมเอาข้อมูลเกี่ยวกับการรีไฟแนนซ์หนี้สินทั้งหลายมาทำให้เข้าใจง่ายขึ้น ผ่านการออกแบบประสบการณ์ที่ผู้คนได้รับแบบใหม่ จนทำให้เป็นธุรกิจ Start-Up ที่น่าจับตามองมาตลอดระยะเวลาหลายปี
รวมถึงปัจจุบันยังแตกแขนงธุรกิจออกไปสู่พื้นที่ใหม่ ๆ มากมาย ทั้งการเปิด Class เพื่อสอนผู้คนเกี่ยวกับทักษะที่จำเป็นต่อการทำงานในยุคนี้ผ่าน ‘eddu’ หรือกลายเป็นสื่อธุรกิจน้องใหม่อย่าง ‘The Insider’ ที่ทำให้วิธีคิดทางธุรกิจของ ‘นพ-พงศธร ธนบดีภัทร’ Group CEO and Co-Founder ผู้ไม่หยุดนิ่งอยู่กับที่ และยังคงขยับขยายความสามารถออกตัวเองจนเป็นหลากเฉดหลายแง่มุมอย่างทุกวันนี้
ด้วยทำเลที่อยู่ห่างกันไม่กี่ช่วงถนนระหว่างเราและ Refinn ทำให้วันนี้เราเดินเท้าออกจากชั้นที่เราทำงานอยู่ มุ่งหน้าขนานไปกับถนนอโศกมนตรี เพื่อมาที่ออฟฟิศขนาดกะทัดรัดที่เขาและพนักงานกำลังทำงานอย่างขยันขันแข็ง เพื่อรู้จักที่มาที่ไปและแง่มุมทางธุรกิจของเขากัน

จุดเริ่มต้นของ Refinn คืออะไร
ย้อนกลับไปตอนผมเรียนอยู่ปี 4 ตอนนั้นอายุประมาณ 21-22 ปี เราเริ่มมองเห็นว่าจริง ๆ แล้วโลกเราเนี่ยทุกอย่างมันฟรี เช่น ความรู้ที่เราต้องจ่ายเงินไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ที่โรงเรียนระดับประถมหรือมัธยม ที่จริงมันฟรีหมดนะ แต่ราคาที่เราต้องจ่ายคือ ความสามารถในการถ่ายทอดของอาจารย์
หรืออย่างภาพยนตร์ จริง ๆ แล้วเราสามารถที่จะไม่ดูก็ได้ เรื่องราวของมัน สตอรี่ การคิดบท ออกมาทุกอย่างมันฟรีนะ แต่ว่าค่าความคิดและการเอาใจใส่ของผลงานจนทำให้เรารู้สึกสนุกได้ นั่นคือสาเหตุที่เรายอมจ่ายเงินให้กับเรื่องนั้น
ผมนึกถึงแบรนด์หนึ่งคือ Agoda ที่เป็นเว็บไซต์เปรียบเทียบโรงแรม สิ่งที่ Agoda ขายคืออะไร ราคาของโรงแรมทุกโรงแรมมันเป็นของฟรีนะ ผมจะไปเที่ยวเชียงใหม่ ผมโทรไปหาทุกโรงแรมเองก็ได้ คําถามคือ Agoda เค้ามีรายได้จากอะไร ก็โรงแรมเหล่านั้นเขาหาลูกค้าไม่เจอไง Agoda ก็เลยเข้ามารวบรวมทุกอย่างให้ ลูกค้าจองก็ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่เขาก็ได้ค่าธรรมเนียมจากโรงแรม
ผมรู้สึกว่าโมเดลธุรกิจแบบนี้โคตรดี ก็เลยเป็นที่มาว่า เอ๊ะ แล้วนอกจากเรื่องโรงแรม มันมีอะไรอีกบ้างที่เป็นเรื่องจําเป็น คนควรจะได้รู้ข้อมูลเยอะ ๆ แต่คนไม่ค่อยรู้กัน เลยเป็นที่มาของเรื่องเงินนี่แหละ เพราะสําหรับผมเรื่องเงินเป็นเรื่องที่ต้องวางแผน คนที่บอกว่าไม่ได้วางแผนการเงิน จริง ๆ แสดงว่าเขาเผลอวางแผนไปแล้วนะ แต่เขาวางแผนว่าจะปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรม เขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจเป็นหนี้ ไม่ได้ตั้งใจที่จะไม่ประสบความสําเร็จทางการเงิน แต่ว่าบางครั้งก็ต้องยอมรับว่าความรู้เรื่องการบริหารจัดการการเงินมันมีน้อยจริง ๆ
แม้กระทั่งเรื่องภาษีที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงประเทศเรายังไม่สอนเลย ข้อมูลเหล่านี้มันเป็นประโยชน์ แต่คนกลุ่มใหญ่ ๆ ไม่รู้ ก็เลยเป็นที่มาว่าถ้าโลกนี้มี Agoda ที่ช่วยเรื่องการเปรียบเทียบว่าโรงแรมไหนราคาถูก โรงแรมไหนที่ดี แม้แต่เด็ก ป.4 ก็สามารถหาโรงแรมให้คุณพ่อคุณแม่ได้ เพราะมันง่ายมาก เราเลยคิดว่างั้นมาทําเว็บไซต์ที่เปรียบเทียบดอกเบี้ยทุกธนาคาร เวลาคนจะทำเรื่องรีไฟแนนซ์จะดีมั้ย เพราะเรื่องแบบนี้มีคนบางคนรู้ บางคนไม่รู้ คนที่รู้ก็ได้เปรียบ คนที่ไม่รู้ก็น่าเสียดาย เลยเป็นที่มาของ Refinn ที่เข้ามาช่วยเปรียบเทียบข้อมูลการรีไฟแนนซ์ทั้งบ้าน รถ และบัตรเครดิต

First Draft ของ Refinn ณ วันแรกที่ได้ทํา เจออุปสรรคอะไรบ้าง
ตอนที่ตั้งใจจะทํา Refinn ขึ้นมา ด้วยความที่ความตั้งใจของเราคือเราไม่ได้อยากจะต้องไปเก็บเงินกับคนที่เป็นลูกค้าของเรา มันดูไม่ใช่แนวทางที่เราอยากทำ เราจะไปปลดหนี้ให้เขา แต่เราก็ไปเก็บเงินเขาเพิ่ม เราเลยเริ่มคิดแล้วว่ามันต้องทำธุรกิจนี้ไปในทิศทางไหนดี
โจทย์ยากที่สุดคือการพูดคุยและเจรจากับทุกธนาคารให้ยอมร่วมมือด้วย ไม่อย่างนั้นเราจะไม่มีทางมีรายได้ เพราะเราก็ไม่ใช่ธุรกิจที่ทํามาแล้วจะยอมขูดเลือดขูดเนื้อ เราก็ต้องอยู่รอดได้ด้วย ฉะนั้นเราก็ไม่อยากเห็นลูกค้าเรามาลำบากต่ออีกทอดหนึ่ง มันพอจะทําอย่างไรได้บ้าง ก็เดินทาง
ไปคุยกับธนาคาร แน่นอนว่าเราใช้ทั้งเวลา และพยายามติดต่อเขาไปอยู่หลายที่ และหลายครั้งเลย
ซึ่งสุดท้ายในตอนนี้เราสามารถที่จะพูดคุยได้มากพอ ด้วย Volume ที่มันเยอะ เรารีไฟแนนซ์ให้คนไทยไปแล้วกว่า 4-5 แสนล้านบาท ซึ่งมันเยอะมาก ธนาคารต่าง ๆ ก็อยากจะเป็น Partner กับเรา แต่ First Draft ณ วันนั้นมันเป็นเรื่องยากมากที่ธนาคารแต่ละแห่งจะยอมคุย และเชื่อมั่นในความเป็นเราได้ ก็ต้องตามจีบ พิสูจน์ให้เขาเห็นอยู่นานเหมือนกัน
ณ วันนั้นที่เรายังเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 4 แล้วต้องเดินเข้าไปเจรจากับแต่ละธนาคาร ความรู้สึกมันเป็นอย่างไรบ้าง
นมีความรู้สึกหลายอย่างนะ ตัวอย่างเช่นการปรับเปลี่ยนตัวเองของเรา คนรอบตัวผมหลายคนจะรู้ว่าจริง ๆ ผมไม่ใช่คนที่สายตาสั้น แต่เราก็ต้องไปคุยกับผู้ใหญ่ เลยเดินเข้าร้านแว่น ไปซื้อแว่นที่ใส่แล้วเราดูแก่ที่สุด เจ้าของร้านแว่นหน้า ม. ตอนนั้นหยิบแว่นอันนึงมาให้เราใส่แล้วบอกว่า “อันนี้ใส่แล้วดูวัยรุ่นมาก” ไม่เอา “เฮ้ย ใส่แล้วดูแบบเกาหลีมากเลย” ไม่เอา “ใส่แว่นนี้แล้วแก่มากเลยนะ” เอาอันนี้เลย
อีกเรื่องคือความพยายามเดินทางไปหา Partner เราต้องตั้งโจทย์ก่อน ผมไม่เคยเล่าที่ไหนเหมือนกัน หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้คนนะครับ จริง ๆ ในทุกการดีลธุรกิจ ผมว่าคําถามสําคัญคือเรากําลังจะดีลกับใคร และเป้าหมายมันไม่ใช่ว่าผมได้อะไร แล้วคุณจะเสียอะไร หรือคุณต้องได้อะไร แล้วผมจะยอมเสีย อันนี้ไม่ใช่การเจรจาต่อรอง อันนี้เรียกยอมแพ้
แต่การเจรจาต่อรองที่ดีสำหรับผมก็คือ ผมจะได้อะไร แล้วคุณจะได้อะไรบ้าง พอเราเริ่มเห็นแล้วว่าในทุก ๆ ธนาคารเขาก็ไม่ได้มีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดเท่ากันหมด สมมุติเรากําลังคุยอยู่กับธนาคารที่ต้องการจะได้ส่วนแบ่งการตลาดมากกว่านี้ สิ่งที่เขาจะคุยกับเราก็คือ “น้องจะช่วยพี่ยังไงได้บ้างล่ะ” เราเริ่มคุยจากแบงค์เหล่านี้ก่อน
ผมเชื่อว่า Agoda ในวันแรกแรก โรงแรมใหญ่ ๆ เขาก็น่าจะไม่คุยด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นโรงแรมทั่วไป สมมติผมเปิดโรงแรมอยู่ที่ขอนแก่นเนี่ย ผมอยากจอยนะ จะได้มีลูกค้า พอทุกโรงแรมมาจอย โรงแรมใหญ่ ๆ ก็ต้องอยากเข้ามาจอยด้วยเหมือนกัน ทําไมต้องยอมเสียส่วนแบ่งลูกค้า ผมว่าอันนี้เป็นกลยุทธ์ที่เราใช้เดิน ณ วันนั้น
ไม่ใช่แค่เรื่องการเงินที่ทุกคนต้องวางแผน ธุรกิจก็เหมือนกัน มันต้องมีกลยุทธ์ คนที่ไม่ได้วางแผนหรือไม่ได้วางกลยุทธ์ไว้ ก็อาจจะปล่อยให้เป็นกลยุทธ์แบบตามมีตามเกิด สําหรับผมถ้าเป็นแบบนั้นก็คือเข้าไปคุยกับทุกธนาคาร พอทุกธนาคารบอกไม่ได้ เราก็ตาย ปิดโปรเจกต์ไป เราไม่เอาแบบนั้น เราเลยต้องมีกลยุทธ์ในการเข้าไปพูดคุย จากการเข้าหาและพูดคุยกับธนาคารที่มีส่วนแบ่งการตลาดเล็ก ๆ ก่อน เขาน่าจะอยากคุยกับเรา นี่คือการต่อรอง

จำความรู้สึกวันแรกที่มีลูกค้าได้รีไฟแนนซ์จริง ๆ กับเราได้มั้ย
จําได้ แล้วก็เป็นความทรงจําที่ดีด้วย เพราะว่าเราเริ่มธุรกิจนี้กับเพื่อน ๆ อยู่ไม่กี่คน แล้วธุรกิจของเราก็มีคนที่ช่วยคอยรับส่งเอกสาร ปัจจุบันเราก็มีพี่ ๆ ที่เป็น Messenger นะ แต่ ณ วันนั้นผมขี่มอเตอร์ไซค์ไปรับเอกสารลูกค้าด้วยตัวเอง
ตอนนั้นเราอยู่มหาวิทยาลัย ยานพาหนะอย่างเดียวที่มีคือรถเมล์ กับมอเตอร์ไซค์ ลูกค้าที่เข้ามาช่วงแรก ๆ ประมาณ 10-20 คน ทำให้แต่ละวันเราต้องวิ่งวุ่นรับส่งเอกสารด้วยตัวเอง สมมติวันนี้ต้องไปเก็บเอกสารของลูกค้า 4 คน ก็ต้องขับมอเตอร์ไซค์ไปกับเพื่อนจากบางมด ขับไปรังสิต ขับไปราชพฤกษ์ ขับไปบางนา
ลูกค้าคนสุดท้ายของวันนั้นจําได้ว่าไปเลตหน่อย เพราะว่าเราขับไปคนละเส้น เราไม่ได้วางแผนอย่างดี ไปถึงประมาณทุ่มสองทุ่ม ลูกค้ากินหมูกระทะอยู่หน้าบ้าน เขาก็ชวนคุย แล้วก็ชวนกินหมูกระทะ พี่คนนี้นี่แหละคือคนที่ได้ Approved เป็นคนแรก ผมก็ยังจําขึ้นใจมาจนทุกวันนี้ว่าเขาชวนเราคุยด้วยความดีใจว่าเดี๋ยวนี้มันมีเว็บอะไรแบบนี้ด้วย แต่ก่อนถ้าอยากรีไฟแนนซ์มันยากมาก เขาเคยจะรีไฟแนนซ์มาหลายรอบ แต่หาข้อมูลยากเหลือเกิน เลยเป็นความรู้สึกที่ยังจํามาถึงทุกวันนี้

มองเรื่องหนี้ครัวเรือนในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง
เอาจริง ๆ ส่วนตัวคิดว่าน่ากังวลอยู่ไม่น้อย อาจจะด้วยเศรษฐกิจหลังจาก COVID-19 ด้วย จากที่ผมเห็นข้อมูลมาบางส่วนที่เป็นกลุ่มลูกค้าของ Refinn เอง พวกเขารีไฟแนนซ์ไปแล้วประมาณแบบ 4-5 แสนล้านอย่างที่บอกไป ซึ่งผู้คนที่เป็นหนี้เหล่านี้บางครั้งเขาไม่ได้ตั้งใจทำให้ตัวเองมีหนี้เสีย และจุดเริ่มต้นของคนที่กู้เขาก็ไม่ได้ต้องการที่จะโดนยึด อาจเพราะหมุนไม่ทันหรือมีความจําเป็นอื่น ๆ เข้ามา ดังนั้นการเป็นหนี้ไม่ได้ผิด
ผมก็เป็นหนี้ ทั้งหนี้รถแล้วก็หนี้บ้าน แต่สิ่งที่น่าเสียดายมากกว่าคือความรู้เรื่องการบริหารจัดการหนี้อย่างถูกต้องมันกลับไม่มี ถ้าเขาได้ศึกษาเพิ่มเติมนิดหน่อยจะรู้ว่าข้อควรบริหารภาษีให้เสียได้น้อยลงมันต้องทำอย่างไรบ้าง เรื่องหนี้เหมือนกัน ผมว่าในภาคครัวเรือน ถ้าเราเห็นตัวเลขว่ามันเยอะขึ้น มันมีความต้องการมากขึ้นจากหนี้เสียที่มันมากขึ้น
สิ่งหนึ่งที่เรายังคงเห็นอยู่คือคนที่มองเห็นว่านี่คือปัญหา และพยายามจัดการปัญหาเรื่องนี้ให้หนี้น้อยลงได้ ยังเป็นตัวเลขที่น้อยอยู่ในตอนนั้นเมื่อช่วง 7-8 ปีที่แล้ว แม้ตอนนี้จะยังน้อยอยู่แบบนั้น แต่หากว่ากันตามสัดส่วนมันควรที่จะเพิ่มขึ้น
การที่เราเป็นหนี้และไม่ได้คิดที่จะบริหารจัดการให้ดีขึ้น คิดว่าแค่ก็ผ่อนผันไปเดี๋ยวก็หมด อันนั้นอาจจะเป็นแค่ขั้นเดียว ขั้นที่สองคือผ่อนยังไงต่อไปให้มันหมดได้ ในฐานะที่เราสามารถบริหารจัดการผ่านการรีไฟแนนซ์ที่เราอาจจะเจอดอกเบี้ย 5 – 6% เราทําให้มันเหลือแค่ประมาณ 3% ก็ยังทำได้ แม้เราอาจจะรู้สึกต่างกันนิดเดียว แต่การผ่อนบ้าน 30 ปี ต่างกันเพียง 3% ก็เห็นผลในระยะยาว
สมมติวันนี้ผมนั่งแท็กซี่จากตรงนี้ไปสุวรรณภูมิ 400 บาท แล้วถ้าโดนชาร์จเป็น 2000 บาทจะรู้สึกอะไรมั้ย ส่วนต่างแค่พันกว่าบาทยังรู้สึกได้เลย แต่กับคนที่รีไฟแนนซ์บ้านและคนที่ไม่รีไฟแนนซ์บ้าน หากเขาโดนชาร์จดอกเบี้ยต่างกันประมาณ 2 ล้านบาท แล้วดันไม่รู้สึกอะไร นั่นก็เป็นเรื่องน่าเสียดายเพราะเขาไม่ได้สนใจมัน อันนี้คือเรื่องที่สะท้อนได้ในมุมของหนี้ครัวเรือนในไทย ว่าคนที่หาทางจัดการบริหารหนี้ได้จริง ๆ ยังมีน้อยอยู่ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวล
ในวันนี้คนไทยมีหนี้กันเยอะมาก เราจะปลดหนี้ยังไงให้มันเร็วและดีที่สุดได้บ้าง
ผมว่าเป็นคําถามที่ดี แล้วก็คําตอบที่ดีของเรื่องนี้ก็คือเราต้องรู้ก่อนว่าเราเป็นหนี้ และเราต้องการที่จะปลดมันจริง ๆ คนส่วนใหญ่เนี่ยดูแค่ขั้นแรกคือรู้ว่าเราเป็นหนี้ แล้วก็คิดว่าเดี๋ยววันนี้ก็ผ่านไป รู้ตัวอีกทีคือหนี้มันไม่หมดและมันจะเยอะขึ้น ถ้าคุณรู้ตัวว่าคุณเป็นหนี้ อาจจะต้องถามต่อว่าเคยลองประเมินมั้ยว่ามันจะหมดวันไหน ถ้าวันนี้คําตอบคือไม่รู้ นั่นคือสัญญาณที่บอกว่าคุณต้องแก้ปัญหาได้แล้ว
ส่วนสเต็ปที่สองคือจะแก้มันอย่างไร ถ้ามีเงินเข้าไปปิดหนี้ที่มองเห็นว่ามันเป็นเงินก้อนจำนวนเท่านี้ มันก็ไม่ได้หมายความว่าหนี้จริง ๆ จะมีเท่านั้น เพราะมันมีทั้งหนี้ที่คุณก่อ และดอกเบี้ยที่คุณมี ฉะนั้นเทคนิคในการปิดหนี้แบบค่อย ๆ ปิด นี่คือหนี้ และนี่คือดอกเบี้ย เราต้องถามว่าทํายังไงให้ดอกเบี้ยจากตรงเนี้ย มันเหลือตรงนี้ได้ แล้วคุณจะสามารถค่อย ๆ จ่ายจนปิดยอดหนี้ได้ เพราะสมมติหนี้พร้อมดอกเบี้ยมีจำนวนเท่านี้ แล้วคุณเอาเงินเดือนคุณมาจ่าย มันอาจจะหมดในอีก 60 ปีข้างหน้า แต่ถ้าสมมติว่าวันนี้หนี้บวกดอกเบี้ยคุณเหลือแค่นี้ คุณอาจจะปิดไปไม่เท่าไหร่ก็หมด ฉะนั้นการทําแบบนี้ มันเรียกว่าการรีไฟแนนซ์

ทำยังไงให้แพลตฟอร์มเว็บไซต์ Refinn ใช้ง่าย ใช้สะดวก ในเรื่องที่เข้าถึงยากแบบนี้
Concept มันมาจากที่ผมชอบตัวอย่างของคุณธนินท์ เจียรวนนท์ ในหนังสือ ‘ความสําเร็จ ดีใจได้วันเดียว’ บทแรกเลย คุณธนินท์บอกว่าเทคโนโลยีทําให้โลกนี้เปลี่ยนไป สมัยก่อนคนที่จะถ่ายรูป มันเป็นเรื่องที่โคตรยาก การใช้กล้องฟิล์ม การตั้งค่ารูรับแสงถ่ายภาพ ตั้งเลนส์ โฟกัสไม่ดีภาพก็เสียหาย ต้องใช้ความสามารถและต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในการถ่าย
แต่สมัยนี้เด็กอนุบาล 1 ก็ถ่ายรูปได้ เพราะเทคโนโลยีมันพัฒนาไปแล้ว มันเลยทําให้คนใช้ง่ายขึ้น เราเรียนวิศวกรรมคอมพิวเตอร์มา เราสามารถทําเรื่องที่มันยาก ๆ และซับซ้อน อย่างเช่นข้อมูลเปรียบเทียบ เรื่องหนี้ เรื่องรีไฟแนนซ์บัตรเครดิตธนาคารไหนถูก ธนาคารไหนแพง บางธนาคารเขียนดอกเบี้ยว่าถูก แต่จริง ๆ ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ แพงนะ
เลยคิดว่างั้นเราทําเป็นโปรแกรมแล้วกัน เราใช้คอมพิวเตอร์คํานวณมาให้ทั้งหมดเลย แล้วเอามาเปรียบเทียบให้ดูเลย อะไรถูกที่สุดบ้างสําหรับคุณ นี่แหละคือการเอาเทคโนโลยีเข้ามาทำให้คนใช้ง่ายขึ้น ไม่จําเป็นว่าจะต้องเก่งเรื่องการเงิน เป็นอาม่า หรือเป็นเด็กก็ต้องใช้ได้แบบง่าย ๆ อันนี้คือ Concept ของการทํา Refinn
จุดแข็งของ Refinn ที่ทําให้ธุรกิจอยู่มาได้จนถึงวันนี้คืออะไร
ผมว่ามันคือความจริงใจ มันหมดยุคของการตลาดแบบตีหัวเข้าบ้านแล้ว ประมาณว่าเราดี มาใช้เราสิ แล้วก็เข้ามาข้างในเสร็จก็ไม่ได้มีอะไรดีกว่าข้างนอก อย่างผมเองก็กล้าบอกทุกคนเลยว่าถ้าจะรีไฟแนนซ์บ้านหรือรีไฟแนนซ์บัตรเครดิต ไม่ต้องมา Refinn ไปธนาคารเองก็ได้นะ แต่ถ้ามาที่ Refinn แม้มันจะเร็วเท่ากัน แต่เราเปรียบเทียบมาให้ทุกธนาคารแล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาเปรียบเทียบเอง รวมถึงเรามีโปรโมชั่นบางอันที่ Refinn ได้ดีลมาพิเศษ ฉะนั้นบางครั้งมาที่ Refinn อาจจะได้ดอกเบี้ยที่ดีกว่าได้ค่าธรรมเนียมที่ถูกกว่าหรืออาจจะฟรีไปเลย
เราจริงใจกับลูกค้าด้วยมุมมองแบบนี้ ผมว่ามันเป็นที่มาที่เราไม่ได้โตแบบก้าวกระโดดเหมือนกับ Start-Up หลาย ๆ ที่ แต่ว่ามันโตมาอย่างมั่นคงมาเรื่อย ๆ อย่างที่เห็นว่า Start-Up เขาบอกว่า 2-3 ปีก็เจ๊ง แต่เรามาได้ถึงปีที่ 9 แล้ว

มีคนเคยพูดว่าวงการ Start-Up ชอบเอาเงินนักลงทุนไปละเลง แล้วก็ทิ้ง อยากให้มองเรื่องนี้หน่อยว่ามันเป็นอย่างไร
ผมว่ามันมีจริง แล้วมันทําให้วงการ Start-Up เสื่อมเสียด้วย คือผมไม่ได้ไม่ได้สนใจหรือว่าแคร์ในคําว่าศักดิ์ศรี Start-Up อะไรเลยนะ แต่ว่าในวันที่คนรุ่นหนึ่งมีโอกาส แล้วทําลายโอกาสเหล่านั้นให้มันกลายเป็นภาพลักษณ์ที่แย่ ผลกระทบที่ตามมามันอาจจะไม่ใช่คุณหรอก แต่มันคือคนรุ่นหลังคุณ มันก็คือประเทศของคุณ
แต่อย่างน้อย ๆ เราก็ยังอยู่ตรงนี้เพื่อพิสูจน์ว่ามันก็มีคนที่ทําสําเร็จได้จริง มันมีคนที่แคร์นักลงทุนมากจริง ๆ อยู่ ผมว่านี่คือสิ่งที่ถ้าคุณไม่ได้แก้ที่รุ่นเราก็ไม่รู้จะแก้ที่รุ่นใคร สุดท้ายนักลงทุนที่ลงทุนกับเราจริง ๆ สมมติวันนี้ผมขี้เกียจทํา ผมอาจจะแค่บอกว่ามันทําไปได้ไม่ดี แล้วผมปิดบริษัทมันก็ได้ มันไม่ใช้เงินกู้ แต่สําหรับผมเรามาทุกวันนี้ได้ก็เพราะเขา บุญคุณใช้เท่าไหร่ก็ไม่หมด
ผมพยายามจะเป็นหนึ่งในคนที่มีจุดยืน แล้วก็แสดงให้เห็นว่ามันก็ยังมีคนที่คิดแบบนี้อยู่ ผมว่าสิ่งที่มันขาดหายไปจากคนทำธุรกิจคือความเป็นสุภาพบุรุษ การรักษาคําพูด ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ เราอยากฝากถึงคนที่ทําธุรกิจอยู่เรื่องนี้เรื่องเดียวเลย
นอกจากการทํา Refinn แล้วยังมีการทําขาอื่น ๆ ที่เป็นเวย์เดียวกันในการช่วยพัฒนาคนไทยให้มีความรู้ทางด้านการเงินมากขึ้นหรือเปล่า
ภายใต้บริษัทของเราเองก็จะมีอีก Bussiness Unit นึงนะครับชื่อว่า ‘eddu’ นะครับ eddu.org ซึ่งทําเรื่องการศึกษา เพราะเราเชื่อว่าสุดท้ายการจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้มันต้องเปลี่ยนแปลงจากจุดเริ่มต้นความคิดคือการศึกษานะ
แต่ไม่น่าเชื่อว่าพอเราพูดถึงคําว่าการศึกษา ถ้าเราดูนักการเมืองหรือใครก็ตามที่หาเสียง คําว่าการศึกษามักจะเป็นเรื่องท้าย ๆ ที่เขาพูดกัน ถามว่าทุกคนรู้ไหมว่าปัญหาทุกอย่างต้นตอต้องแก้ที่การศึกษา ทุกคนรู้นะ แต่มันจะมาสู้เรื่องปากท้องวันนี้ได้ยังไง การศึกษามันคือการแก้ปัญหาระยะยาว ในมุมของการทำธุรกิจผมไม่ได้มองว่าเราจะต้องสามารถมาเทคกําไรในหนึ่งวัน สองวัน หรือหนึ่งเดือนนี้ให้ได้เยอะที่สุด แต่เราอยากเทคกําไรให้ได้เป็นร้อยปี ต่อให้เราตายไปแล้วมันยังอยู่ แล้วผมยังภูมิใจที่ทํามันด้วย
นั่นคือที่มาที่เราเริ่มต้นทำ eddu ปัจจุบันก็มันก็มีทั้งในสายความรู้ที่เป็นสายเกี่ยวกับด้านธุรกิจ การตลาด แล้วก็สายของคนทํางาน สโลแกนของเราละกันคือ “Education is suck.” ซึ่งเราไม่ได้ด่าว่าการศึกษามันเลว แต่เราเป็นคนที่รักการศึกษา และเราเชื่อว่าระบบการศึกษาที่มีอยู่มันไม่ดี
เราเลยวางตัวเองเป็น Alternaive Education หรือการศึกษาทางเลือก การศึกษาทางหลักเราก็ยังต้องมีด้วย แต่เราไม่ได้เชื่อแล้วว่านี่คือยุคของการเรียน 18 ปี เพื่อใช้ในอีก 60 ปีในชีวิต เราเชื่อในเรื่องของการเรียน 6 เดือนและเป็น Skill ที่ใช้ได้ใน 2 ปีนี้ อีก 2 ปี Skill เปลี่ยนไป ตลาดเปลี่ยนไป คุณก็ลงเรียนเรื่องใหม่ 2 เดือน แล้วอาจจะใช้ได้อีก 1 ปี
เราเชื่อว่าจริง ๆ ในปัจจุบันคนที่จะอยู่รอด คือคนที่ต้อง Reskill แบบนี้ได้ ไม่ใช่ว่าตลาดมันเปลี่ยนแล้วเรามัวแต่นั่งกอดอกแล้วพร่ำบ่นว่าเรื่องที่ฉันเรียนมาปัจจุบันนี้มันใช้ไม่ได้แล้ว มันไม่มีคนจ้างแล้ว เราทําแบบนี้
มีเรื่องหนึ่งผมชอบมาก คือพ่อแม่ของคนที่มาเรียนกับผมเขาต้องตัดสินใจว่าจะส่งลูกไปเรียนมหาลัยดีมั้ย เพราะเงินเขาไม่พอ เขาเลยมาเรียนที่ eddu จบมา 6 เดือน แล้วเขาก็ปัจจุบันได้ทํางาน แล้วเงินเดือนก็ไม่น้อยเลย ประมาณ 25,000 – 27,000 บาท ในอายุ 19 ปีนะ ถ้าเขายังอยู่ใน Traditional Education เขาอาจจะจ่ายค่าหออยู่เลย
อันนี้คือมันคือสิ่งที่ทําให้เราอยากตื่นมาทํางานทุกวัน แล้วเราก็ยังสนุกกับการทํางานทุกวัน เราไม่ได้ตั้งใจที่จะต้องได้กําไรปีนี้ให้เยอะที่สุด แต่พอคนมีเขาประสบความสำเร็จ มันกลายเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ ได้เข้ามาเรียนได้ พอทุกคนมันดีขึ้น ผมเชื่อว่าธุรกิจในปัจจุบัน มันไม่ใช่ธุรกิจที่มีบางคนได้ มีบางคนเสีย แต่มันคือธุรกิจที่ทุกคนมันต้องได้ คนเรียนต้องได้ Partner เราได้ แล้วสุดท้ายเราก็ได้ มันก็จะยั่งยืนไปอีกเป็น 100 ปีหรือ 200 ปี ได้เหมือนกัน ผมว่าโจทย์มันคือเรื่องนี้


Win-win Benefit สําคัญยังไงกับการทําธุรกิจ
ผมว่ามันทําให้เราไม่เหนื่อย ถ้าเราต้องเจรจาต่อรองกันตอนนี้ แล้วผมบอกว่าต้องได้มากที่สุดแล้วคุณต้องเสียมากที่สุด วันนี้ผมอาจจะได้เงิน พรุ่งนี้ผมอาจจะไม่ได้ทำงานร่วมกับคุณอีกแล้วก็ได้ ผมก็ต้องไปหาคนอื่น แล้วผมจะต้องเหนื่อยในการเจรจาต่อรองไปมากขึ้นเรื่อย ๆ ต้องเจรจาต่อรองแบบนี้ไปอีกกี่คนล่ะถึงจะเติบโตในระยะยาวได้
ผมอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อว่า ‘Give and Take’ เขาบอกว่าโลกของเรามีคนอยู่สองแบบ คือ Giver หรือผู้ให้ กับ Taker หรือคนที่จะเอาแต่ประโยชน์ ผมให้คุณลองทายว่าคนที่ประสบความสําเร็จเป็น Giver หรือ Taker และคนที่ประสบความล้มเหลวเป็น Giver หรือ Taker
ผมรู้คำตอบในใจคุณอยู่ และผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน แต่ในหนังสือเล่มนี้บอกว่ามันไม่ใช่แค่นั้น เพราะคนที่ประสบความสําเร็จก็เป็น Giver ได้ และคนที่ประสบความล้มเหลวก็เป็น Giver ได้เหมือนกัน เพียงแต่คนที่ประสบความล้มเหลวคือ Giver ที่รายล้อมไปด้วย Taker เป็นผู้ให้ที่จิตใจดี แต่รายล้อมไปด้วยคนที่จะเอาผลประโยชน์อย่างเดียว นั่นแปลว่าถ้าวันนี้เราเป็นคนที่เป็น Giver ที่อยู่ในดง Giver ด้วยกัน เราจะอยู่ได้ระยะยาว นั่นเลยเป็นเหตุผลว่าทําไมเราต้องพยายามทําให้มันเป็น Win-win Senerio ในทุก ๆ ธุรกิจที่เราทำ
ในวันนี้ที่บริษัทเติบโตขึ้น เราดูแลพนักงานอย่างไรบ้าง
ผมเชื่อเรื่อง Work-life Balance หลายคนอาจจะบอกว่ามันเป็นเรื่องเพ้อฝัน แต่ผมบอกว่ามันควรเป็นสิ่งที่ทําได้จริง ผมอยากให้ทุกคนทํางาน 8 ชั่วโมง แค่นั้น ไม่ต้องไปทํางานนอกเวลา คนที่กลับบ้านตรงเวลาไม่ได้หมายความว่าเค้าทําอะไรผิด ทุกคนควรได้มีเวลากลับไปพักที่บ้าน ทุกคนควรได้มีเวลาอยู่กับครอบครัว แต่หลายคนก็บอกว่ามันจะทําอย่างนั้นได้จริง ๆ หรือ ผมก็จะบอกว่าเรื่องเนี้ยคือเรื่องสําคัญที่เจ้าของหรือผู้บริหารต้องคิดให้ดี
นั่นคือคุณรายล้อมด้วยคนที่เป็น Giver หรือ Taker ล่ะ ถ้าพนักงานคุณมีแต่ Taker คุณทําแบบนี้คุณเจ๊ง แต่ถ้าพนักงานคุณมีแต่ Giver เวลาพนักงานถามหาเขาจะถามหาสิทธิ แต่คุณอาจจะลืมไปว่าสิทธิมาพร้อมคําว่าหน้าที่มาคู่กัน ซึ่งถ้าคุณทําหน้าที่ได้ดี ผมก็พร้อมที่จะให้สิทธิ์คุณได้ดีเช่นกัน ผมอยากให้ทุกคน Work-life Balance ได้ แต่ในวันที่เวลาที่คุณทําหน้าที่ คุณทําอย่างเต็มที่หรือเปล่าล่ะ
อย่างคนญี่ปุ่นเอง ต่อให้เค้าเป็นแค่พนักงานเสิร์ฟ เป็นแค่คนที่ดูแลอาคาร หรือพี่ รปภ. เขาใส่ใจในเรื่องของการซื้อครีมบํารุงผิวตัวเอง เพราะเขามองว่าตัวเขาเองเนี่ยคือสินค้า บริษัทมาเช่าตัวเขาบริษัทจ่ายเงินเดือนเป็นค่าจ้าง ฉะนั้นเขาต้องตอบแทนลูกค้าให้ดีที่สุด คือเงินที่ผมนั่งอยู่ในทุก ๆ วัน ทุก ๆ ชั่วโมง มันคือเงินเดือน
ผมมองว่าถ้าเราเป็นสังคมแบบไหน เราเลือกสังคมแบบนั้นได้ ผมต้องการให้พวกคุณได้ใช้เวลาเต็มที่กับครอบครัว เลิกงาน ลุกออกไป เสาร์-อาทิตย์ อย่าติดต่อกัน ถ้ามีงานมา พิมพ์ E-mail มาทิ้งไว้ได้ แต่ไปใช้เวลากับครอบครัวให้เต็มที่ ซึ่งถ้าเป็นอย่างงั้นจะทําอย่างงั้นได้ พนักงานก็ต้องเป็นคนที่เป็น Giver ให้ได้ก่อน นี่คือที่ไปที่มา


มันควรชั่งน้ำหนักอย่างไร ให้ Give and Take มันไปด้วยกันและประสบความสําเร็จได้
ผมว่าคนเรามันจะมีอยู่ไทป์เดียว สมมติผมเป็น Giver หรือคุณเป็น Giver เราก็จะเป็นคนแบบนั้นแค่นั้น และถ้าผมเป็น Giver ที่อยู่ในดงพนักงานที่เป็น Taker แบบนี้บริษัทเจ๊งแน่นอน ไม่มีความสุขในการทํางานแน่นอน กับอีกอย่างนึงคือพนักงานเป็น Giver ในบริษัทที่เป็น Taker แบบนั้นพนักงานก็อาจจะตั้งใจทํางาน แต่โดนกดขี่ ไม่ได้รับ Work-life Balance เจอหัวหน้าที่ไม่ดี อันนี้คือสิ่งที่คนไทยหลายคนโดนอยู่ แต่หลายบริษัทก็เป็น Taker and Taker เลยก็มี
ผมคงตอบแทนไทป์อื่น ๆ ไม่ได้ แต่ผมตอบในไทป์ของผมได้ว่ามันเป็น Concept ของผู้บริหารเป็นแบบ Giver แล้วเราก็วางนโยบายบริษัทให้เป็น Giver เปย์พนักงานอย่างเต็มที่ได้ แต่พนักงานต้องเป็น Giver ด้วยเช่นกัน มันเลยเป็นที่มาของ Selection Process ของการคัดคนเข้ามา เงื่อนไขในการรับ เงื่อนไขในการผ่าน ในการไม่ผ่าน เงื่อนไขในการจากลา สิ่งเหล่านี้มันก็ต้องชัดเจน เพื่อที่จะคัดคนที่เป็น Giver มาอยู่ในดงคนที่เป็น Giver ด้วยกัน แล้วสุดท้ายทีมมันจะทํางานสนุกกันมาก ๆ เองเพราะทุกคนมันมีแต่คนที่เป็นเป็นแบบเดียวกัน
วางแผนระยะทางหลังจากนี้ของ Refinn ไว้อย่างไรบ้าง
จากที่เล่ามาทั้ง Refinn และ eddu คุณจะเห็นว่าสิ่งที่เราทําได้ดีคือการเอาเทคโนโลยีมาย่นระยะของอะไรบางอย่าง เช่นย่นระยะเวลาการทำความเข้าใจของคนที่ไม่มีความรู้เรื่องการเงิน และคนที่อาจจะเป็นหนี้แล้วไม่รู้จะจัดการยังไง กับคนที่มาเรียน eddu เราก็ยังเชื่อว่าเทคโนโลยียังสามารถร่นระยะอะไรพวกนี้ได้อยู่ มันเป็น Vision ของเราเลย ก็คือการใช้เทคโนโลยีในการมา ทำให้เรื่องเหล่านี้ต่อชีวิตคนรุ่นหลังทําได้ง่ายขึ้น นี่คือสิ่งที่เราถนัด
จากการทําธุรกิจมาเกือบ 10 ปี มองเห็นโอกาสอะไรในธุรกิจทางการเงินบ้าง
ผมมองว่าธุรกิจการเงินส่วนใหญ่ คนจะเน้นไปใช้เรื่องการลงทุน ก็คือต่อยอดให้คนรวยมากขึ้น Refinn เนี่ยที่มัน Take Off แล้วก็คนนิยมกันมาก ๆ ในตอนที่เราเปิดตัว เป็นเพราะว่ามันไม่ค่อยมีธุรกิจไหนที่มาลงมือทำทางด้านนี้เลย เพราะเราเข้ามาทำธุรกิจทางการเงินกับคนที่เขายังไม่มีความรู้ทางการเงินมากพอ เขามีหนี้ก็แก้ปัญหาไม่ได้ ฉันอยากมีเงินล้านแรก ฉันก็ไม่รู้จะทํายังไง
ถ้าคุณสามารถที่จะเข้ามาทดลองหรือหยิบจับตลาด แล้วทําให้คนกลุ่มนี้รวยขึ้นหรือแก้ปัญหาการเงินให้เขาได้ ผมว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ และถ้าถามผมว่ากลัวคู่แข่งไหม ผมไม่ได้อยากกลัวนะ Welcome ด้วยซ้ํา มันคือการทําให้ตลาดมันดีขึ้นไปด้วยกัน ทําให้คนไทยมันมีเรื่องการเงินที่ดีขึ้นไปด้วยกัน ฉะนั้นคำตอบสั้น ๆ ว่าอะไรที่เป็นโอกาสของธุรกิจทางการเงินในตอนนี้ มันน่าจะเป็นเรื่องของการที่เราไม่ต้องไปแย่งแต่ปลาใหญ่อย่างเดียว ปลาเล็ก ๆ ที่กําลังมีปัญหาก็ยังเยอะอยู่

เห็นว่าทำสื่อออนไลน์ของตัวเองด้วย เล่าให้เราฟังหน่อยว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
เหมือนกันเลย คือผมอะแค่มีไอเดียว่า ถ้าเราตายไปเนี่ยสิ่งที่เราอุตส่าห์มีความรู้ มันจะไปจบลงตรงไหน มันก็จะจบลงวันที่เราตาย อันนั้นเลยเป็นจุดเริ่มต้นของการทําช่อง ‘NopPongsatorn’ วันที่เราสัมภาษณ์คนมากขึ้น เราเริ่มรู้สึกว่าเราไม่อยากให้ช่องมันหยุดในวันที่เราสิ้นอายุขัย เลยเป็นที่มาว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องของช่องบุคคล มันต้องเป็นช่องที่มี Identity เป็นสื่อออนไลน์ โดยที่เราไม่ได้คิดว่าเราจะไปเอาชนะใคร แต่สิ่งที่เรามองมากกว่าก็คือว่าเราเป็นอีกสื่อหนึ่งที่พอจะมีคุณภาพ แล้วช่วยให้ใครบางคนได้ปลดล็อกอะไรบางอย่างได้มั้ย
บางครั้งเราโดนหลอกด้วยตัวเลข คลิปนี้ 1 แสนวิวเราทําได้ 1 ล้านวิวเราทําได้ คลิปนี้ 3,000 วิวเอง รู้สึกเสียดาย รู้สึกเซ็ง อัลกอริทึมก็จะบอกเราว่าทําให้ดีกว่านี้ แต่สุดท้ายแล้วถ้าสิ่งที่เราพูดมันมี 3,000 คนได้ยิน แล้วถ้ามี 10% หรือ 300 คนที่เขาเอาไปเปลี่ยนชีวิตเขาได้ มันก็มีค่ามากแล้ว
อันนี้คือ Concept ของเรามากกว่า ไม่อยากเรียกว่าสํานักข่าวออนไลน์เลยด้วยซ้ำ เพราะมันยังไม่สําเร็จขนาดนั้น ถ้าจะใช้คําว่าสื่อออนไลน์ เราก็ยังพยายามทําให้มันเป็นสิ่งนั้นอยู่แบบงู ๆ ปลา ๆ แต่ก็มีความสุขทุกคลิปที่ได้ทํา ชื่อของมันคือ ‘The Insider’ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทนี้เหมือนกัน ก็มีไอเดียของน้อง ๆ มาเสนอเป็นคอนเทนต์ด้วย ทำให้เขามีพื้นที่ได้ปล่อยของ เพราะสุดท้ายคนเก่งที่มีของ แต่ไม่มีพื้นที่ให้เขาปล่อยของ เขาจะไปปล่อยที่อื่น
สิ่งที่ทําให้เรียนรู้จาก First Draft ของการทํา Refinn คืออะไร
ย้อนกลับไปคําเดิมว่าจากวันนั้นถึงวันนี้ มันมีสิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อได้อยู่อย่างเสมอเลยก็คือการวางแผนก่อน การวางกลยุทธ์ก่อน เหมือนที่ผมไปทํา Refinn แล้วผมรู้ว่าผมต้องไปคุยกับธนาคารเล็กก่อน ไม่ใช่เข้าไปคุยกับธนาคารใหญ่ ผมทํา eddu ผมรู้ว่าผมจะวางเป้าหมายเป็น Altenative Education เรามีแผนแล้วเราค่อย ๆ เดินตามแผน บางครั้งแผนอาจจะไม่ต้องประสบความสําเร็จใน 1 ปี 2 ปี คุณอาจจะเห็น Social Media เยอะเกินไป แล้วก็เครียดว่าเด็กคนนั้นทํา 6 เดือนได้ 10 ล้าน มันก็คงเป็นเรื่องที่ดี
แต่ว่าสําหรับผม เรามีภาพความสําเร็จในหัว อาจจะเป็นภาพในอีก 5 ปีข้างหน้า ผมก็ซอยความสำเร็จนั้นกลับมาเมื่อปีที่ 4 ผมต้องทําอะไร ปีที่ 3 ผมต้องทําอะไร ปีที่ 2 ทําอะไร ปีที่ 1 ทําอะไรเดือนนี้ต้องทําอะไร วันนี้ต้องทําอะไร
ผมทําแค่อย่างเดียวคือการเดินตามแผน ผมก้มหน้าก้มตาทําไป คู่แข่งไปถึงไหนอะไรผมไม่สน วันนี้ก้มหน้าก้มตาทํางานของพวกนี้ตามแผนที่ผมวางไว้ เพราะผมเชื่อว่าถ้าวันนี้ผมทําตามความมุ่งมั่นของผมได้ ผมตรงเวลากับทุกเรื่องในชีวิต ความสําเร็จในชีวิตก็จะตรงเวลากับผมเหมือนกัน
