เมื่อพูดถึง ‘ศาสนา’ เราอาจจะรู้สึกคุ้นเคย คุ้นชิน หรือรู้สึกว่าการมีอยู่ของสิ่งสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร นั่นก็เพราะศาสนาได้เข้ามาสอดแทรกอยู่ในชีวิตประจำวันของเราในแบบที่เราเองก็อาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ศาสนาเข้ามามีบทบาทในชีวิตของเรา
หากพอจำกันได้ สถาบันที่ศาสนาเข้ามามีบทบาทมากที่สุดในช่วงแรก ๆ ก็คือ ‘สถานศึกษา’ นั่นก็เพราะว่าก่อนหน้านี้ตัวศาสนาเองเป็นสถาบันที่เข้ามาช่วยเหลือและอุปถัมภ์ในการศึกษาเล่าเรียน และเมื่อการมีความรู้สามารถทำให้ผู้คนหลุดพ้นจากความยากจนได้ ศาสนาจึงได้กลายเป็นสถาบันที่ช่วยให้คนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ สถาบันที่ได้เข้ามาสร้างสถานศึกษาเองบวกกับเข้ามาซัปพอร์ตการศึกษาก็คือ ‘รัฐบาล’ ทำให้การมีศาสนาในระบบการศึกษาเกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมา เช่น การที่นักเรียนเข้าไปศึกษาในสถาบันที่ไม่ตรงกับการนับถือศาสนาของตนเองก็จะรู้สึกเป็นคนนอกขึ้นมาจากการกดดันภายในสังคม
นอกจากความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับระบบการศึกษาแล้ว ในประวัติศาสตร์ยังมีการอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองกับศาสนาอีกด้วย หรืออธิบายง่าย ๆ ก็คือ การมีอยู่ของศาสนาเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือทางการเมืองตั้งแต่ต้น โดยในอดีตเมื่อศาสนาพุทธเข้ามามีบทบาทถึงอุษาคเนย์ คนชนชั้นนำที่นับถือศาสนาพุทธในยุคนั้นก็ได้หยิบศาสนาเข้ามาเป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยสะท้อนผ่านคำสอนเรื่องคนไม่เท่ากันและบุญวาสนา ซึ่งเป็นคำสอนของศาสนาพุทธ ทั้งนี้ก็เพราะว่าต้องการปกครองคนที่มาจากนานาชาติพันธุ์ให้เป็นคนไทย
ในงานของ ‘สุจิตต์ วงษ์เทศ’ ได้อธิบายไว้ว่า การมีอยู่ของพระสงฆ์สมัยอยุธยาเกิดขึ้นมาเพื่อรับใช้รัฐตั้งแต่ต้น โดยจะสะท้อนผ่านการสวดลำและเทศน์มหาชาติ ซึ่งบทสวดเหล่านี้แต่งโดยนักปราชญ์ของรัฐ ที่จะสอนเรื่องเดิมคือเรื่องคนไม่เท่ากันใด ๆ นั่นเอง รวมถึงในยุคนั้นหน่วยราชการของรัฐมีหน้าที่ในกำกับพระสงฆ์อีกด้วย
นอกจากนี้หากย้อนกลับไปอีกหน่อยในช่วงสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ทางอินเดียและศรีลังกาได้ใช้ศาสนาเพื่อขยายเขตการค้าเข้ามาที่อุษาคเนย์ ซึ่งก่อนหน้าที่จะรับศาสนามาจากทางอินเดีย อย่างที่เรารู้กันว่าคนส่วนใหญ่นับถือผี คนอุษาคเนย์ก็นับถือผีที่แตกต่างกันออกไปจนเกิดความขัดแย้งกันขึ้น คนชนชั้นนำของแต่ละพื้นที่จึงใช้วิธีทางการเมืองเพื่อปกครองผู้คนด้วยการรวมความแตกต่างอันนี้เข้าเป็นศาสนาและมีศาสดาเดียวกันจนเกิดเป็นศาสนาใหม่ที่รวมทั้งศาสนาผี, ศาสนาพุทธ, ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดความแตกต่างและรวมกันเป็นรัฐ ต่อมาจึงมีการขยายเป็นอาณาจักร ดังจะเห็นคอนเซปต์ใหญ่ ๆ ของการมีศาสนาว่าเกิดขึ้นมาเพื่อช่วยเป็นเครื่องมือของรัฐในการปกครองความแตกต่างของคนนั่นเอง
อย่างไรก็ดี การมีอยู่ของศาสนาในอดีตเกิดขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือของรัฐโดยอิงจากความศรัทธาและใช้เพื่อปกครองผู้คนภายใต้การปกครองให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และนี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ ที่หยิบยกมาเท่านั้น ยังมีอีกหลากหลายประเด็น และหลากหลายศาสนาที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับความสัมพันธ์ที่อยู่ระหว่างศาสนากับการเมืองนั่นเอง
อ้างอิง
- https://doh.hpc.go.th/bs/topicDisplay.php?id=478
- https://opac01.rbru.ac.th/multim/journal/04297.pdf
- https://research.eef.or.th/school-and-religion/
- https://www.silpa-mag.com/history/article_99345