ทุกคนเคยสงสัยกันไหมว่าเราสามารถแยกแยะเพศสภาพของคนรอบตัวเราด้วยการสังเกตจาก ‘วิธีการพูด’ เพียงอย่างเดียวได้หรือไม่ เช่น การแยกแยะน้ำเสียงของ LGBTQ หรือผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศออกจากชายหญิงปกติทั่วไป ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางด้านภาษาศาสตร์สังคม (Sociolinguistics) หลายคนก็ได้ให้คำตอบกับเรื่องนี้ว่าคนในกลุ่ม LGBTQ โดยเฉพาะ ‘เกย์’ นั้นจะมีวิธีการพูดจาที่แตกต่างออกไปจากผู้ชายทั่วไปจริง ๆ ถึงขนาดที่ว่าหากตัดเรื่องหน้าตาและอุปนิสัยรายบุคคลออกไปเราก็ยังสามารถแยกแยะได้ว่าใครเป็นเกย์หรือไม่อยู่ดี
โดยงานวิจัยหนึ่งจากฝรั่งเศสที่ศึกษาจากการเก็บตัวอย่างเสียงของเกย์และชายแท้หลายร้อยคนพบว่า เกย์นั้นมีแนวโน้มที่จะใช้โทนเสียงในระยะที่กว้างกว่าชายแท้ กล่าวคือเกย์จะใช้เสียงโทนเสียงต่ำและสูงขึ้นลงสลับไปมาในบทสนทนา เหมือนเครื่องดนตรีที่มีตัวโน้ตหลายตัวให้เล่นมากกว่า ในขณะที่ผู้ชายจะพูดด้วยระยะเสียงที่คงที่อยู่ในช่วง ๆ หนึ่งตลอดเวลา แถมเกย์ยังปล่อยลมออกมาระหว่างคำพูดน้อยกว่าชายแท้อย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย ซึ่งปัจจัยทั้งสองอย่างนี้อาจทำให้คำพูดของเกย์ดูชัดเจนและน่าฟังกว่าปกติในสายตาคนทั่วไป

ส่วนลักษณะเด่นอีกอย่างหนึ่งของเกย์เวลาที่กลุ่มชายหญิงทั่วไปสามารถสังเกตได้อย่างแม่นยำก็คือ เกย์นั้นจะพูดจาเหมือนผู้หญิงที่มักใช้เสียงสูงและลากเสียงสระในแต่ละคำให้ยาวขึ้นกว่าเดิม เช่นคำว่า “สวัสดี” ในภาษาไทย ชาวเกย์ก็อาจจะออกเสียงว่า “สวัสดีย์” หรือ คำว่า “ไม่นะ” เป็น “ม่ายน้า” ซึ่งการพูดในลักษณะนี้จะช่วยให้สื่ออารมณ์ออกมาได้ดีกว่า จนนักวิจัยในอดีตต่างตั้งสมมติฐานว่าคำพูดที่เป็นเอกลักษณ์ของเกย์อาจเกี่ยวกับปริมาณฮอร์โมนในร่างกายที่แตกต่างจากชายแท้ อย่าง ฮอร์โมนเทอเรสเทอโรนที่ส่งผลให้ผู้ชายมีเสียงต่ำลงและมีขนตามร่างกายที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามงานวิจัยสมัยใหม่หลายฉบับกลับออกมาโต้แย้งสมมติฐานในอดีตนี้ว่า การที่เกย์พูดจาเหมือนผู้หญิงนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับปริมาณฮอร์โมนในร่างกายแต่อย่างใด แถมเกย์บางคนยังมีฮอร์โมนเทอเรสเทอโรนมากกว่าผู้ชายที่ชื่นชอบผู้หญิงตามปกติเสียด้วยซ้ำ ซึ่งมีแน้วโน้มว่าสาเหตุที่เกย์นั้นได้วิธีการพูดแบบผู้หญิงมาอาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมรอบตัวตั้งแต่วัยเยาว์มากกว่า โดยเกย์นั้นมักจะมีเพื่อนผู้หญิงมากว่าชายแท้ จึงทำให้ซึมซับวิธีการพูดแบบผู้หญิงออกมาได้มากกว่านั่นเอง

นอกจากนี้ เกย์ยังมีความสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีการพูดของตนให้สอดคล้องกับผู้ฟังที่แตกต่างออกไปได้อีกด้วย โดยงานวิจัยจากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปี 2018 ภายใต้หัวข้อ “ทัศนคติของคนวัยหนุ่มสาวที่มีต่อเสียงพูดของเกย์ไทย” ได้กล่าวว่า เกย์นั้นอาจปรับให้เสียงของตน มีความเป็นเกย์ลดน้อยลงตามสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ตนพิจารณาว่าเหมาะสมตามกาลเทศะ การปรับเสียงนี้อาจเป็นทางหนึ่งในการปิดบังอำพรางตัวตนในสังคม หรือเพื่อแสดงภูมิความรู้ก็เป็นได้ ซึ่งอาจเป็นเพราะน้ำเสียงของชายแท้นั้นมักถูกสังคมมองว่ามีความน่าเชื่อถือมากกว่า
ต่อมาในปี 2023 งานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งจากอิตาลีก็ได้ออกมายืนยันเรื่องนี้ว่าเกย์นั้นสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบเสียงของตนได้จริง ๆ ผ่านการศึกษายูทูเบอร์ระหว่างช่วงเวลาก่อนที่จะเปิดตัวกับสังคมว่าเป็นเกย์กับช่วงเวลาหลังเปิดตัว เพื่อให้คนในสังคมรับรู้ว่าพวกเขานั้นเป็นเกย์ ซึ่งความสามารถในการเปลี่ยนวิธีการพูดนี้นั้นคล้ายกับการที่ชายแท้สามารถกดโทนเสียงของตัวเองให้ต่ำลงได้เมื่อพูดจาในเชิงออกคำสั่ง และนุ่มนวลขึ้นเมื่อพูดกับผู้หญิง
จากงานวิจัยทั้งหมดเราจึงอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า เสียงแบบเกย์นั้นไม่มีลักษณะไปทางเสียงแบบผู้หญิงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการผสมผสานระหว่างความเป็นชายกับหญิงเข้าด้วยกันอย่างมีเอกลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งมีผู้ฟังนั้นเป็นตัวแปรหลักสำคัญต่อพฤติกรรมการพูดของเกย์ว่าจะใช้เสียงแบบเกย์มากน้อยแค่ไหนกันแน่ และเมื่อรวบปัจจัยด้านรูปแบบการพูดเข้ากับหน้าตา ท่าทาง และการแต่งตัวแล้ว คนในสังคมจึงมีโอกาสที่จะแยกแยะได้ว่าคนไหนเป็นเกย์ได้สูงขึ้น ทั้งนี้การที่มีเกย์เข้ามาในวงการบันเทิงและสื่อต่าง ๆ มากขึ้นก็อาจทำให้คนในสังคมเข้าใจบุคลิกลักษณะของเกย์มากขึ้นอีกด้วย
ส่วนในกรณีของสมาชิกชาว LGBTQ กลุ่มอื่น ๆ ที่ไม่ใช่เกย์นั้นก็มีงานวิจัยออกมาเช่นกันว่าแต่ละกลุ่มก็จะมีลักษณะการพูดที่เป็นเอกลักษณ์ออกไปอีก เพียงแต่จะสังเกตได้ยากกว่ารูปแบบเสียงของเกย์ที่มีงานวิจัยออกมารองรับมากกว่า
อ้างอิง
- https://www.rowdymagazine.com/post/why-do-gay-men-sound-like-~that~
- https://www.jstor.org/stable/455948
- https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pmc/articles/PMC7497419/
- https://so03.tci-thaijo.org/index.php/liberalarts/article/view/86295
- https://pubmed.ncbi.nlm.nih.gov/32617773/