“เอาอีกแล้ว” นี่น่าจะเป็นเสียงในหัวของคุณตอนเจอลิงก์ดักควายด้วยเพลง ‘Never Gonna Give You Up’ เวลาใช้งานอินเทอร์เน็ตในรอบ 20 ปีที่ผ่านมากันบ้าง กำลังกดดูอะไรเพลิน ๆ อยู่ดี ๆ ก็มีเจ้าเพลงนี้โผล่ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย จนบางคนอาจจะรู้สึกรำคาญไปบ้าง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้คือสิ่งบันทึกยุคสมัยของโลกออนไลน์ได้ดีเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยมันก็ถูกขนานนามว่าเป็น “The Greatest Meme of All Time”

วันนี้ SUM UP เลยอยากมาแนะนำเจ้า Meme ที่ชื่อ ‘Rick Roll’ ที่คนที่ยังไม่เคยรู้จัก หรือคิดถึงสิ่งนี้ได้เข้าใจที่ไปที่มาของมันกันให้มากขึ้นกัน

ที่มาที่ไปของเพลง ‘Never Gonna Give You Up’

ย้อนกลับในช่วงแรกของการทำงานเพลงของ ‘Rick Astley’ เขารวมวงกับเพื่อนในช่วงต้นทศวรรษ 1980 ในชื่อวง ‘F.B.I.’ โดยริคเป็นนักร้องนำของวงที่เลือกใช้ความโดดเด่นของการใช้โทนเสียงการร้องเพลงแบบผู้ใหญ่ จนวันหนึ่งในวันที่พวกเขาแสดงโชว์กันในคลับท้องถิ่น Pete Waterman เจ้าของบริษัทผลิตเพลงก็ได้มาเจอะพวกเขา และติดต่อให้เข้ามาทำงานเพลงด้วยกัน ซึ่งหลังจากเข้าร่วมการทำเพลงด้วยกัน ทางค่ายไม่ได้รู้สึกพิเศษกับ F.B.I. มากเท่ากับความสนใจในเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของริค

จนเขาได้โอกาสให้เข้ามาช่วยเหลือทางค่ายในช่วงแรกของการทำงานจากการช่วยชงชาและทำแซนด์วิชให้กับเหล่าสมาชิกผู้ร่วมค่ายทั้งสามคนในขณะที่พวกเขากำลังทำเพลง จนริคได้โอกาสทำงานเพลงจริง ๆ ในฐานะศิลปินเดี่ยวครั้งแรกเมื่อปี 1987 และได้เปิดตัวอัลบั้มเดี่ยวของตัวเองผ่าน Single แรก ‘Never Gonna Give You Up’ และขึ้นเป็นอันดับที่ 1 บนชาร์ตเพลงระดับนานาชาติหลายชาร์ตด้วยกัน ทั้ง Billboard Hot 100, Hot Adult Contemporary Tracks และ UK Singles Chart โดยนอกจากตัวเพลงที่ติดหูแล้ว ภาพ Music Video ของเพลงนี้ก็เป็นภาพของริคที่เต้นในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งก็เป็นภาพที่คล้ายคลึงกับ Music Video โดยทั่วไปในยุคนั้น

ที่มาที่ไปของมีม ‘Rickroll’

หากจะว่ากันจริง ๆ Rickroll เกิดขึ้นในยุคที่เว็บบอร์ดกำลังเป็นที่นิยมบนโลกออนไลน์ โดยเจ้ามีมตัวนี้เกิดขึ้นจากภาพในเว็บบอร์ดของเว็บไซต์ 4chan ในยุคแรก ๆ จากการแกล้งหยอกกันบนโลกออนไลน์ของ Christopher Poole เจ้าของเว็บไซต์ที่เริ่มเปลี่ยนคำว่า “egg” เป็นคำว่า “duck” โดยในกระทู้หนึ่งที่มีการพูดถึงคำว่า ‘Eggroll’ ก็ถูกเปลี่ยนเป็น ‘Duckroll’ แล้วก็มีคนบ้าจี้โพสต์ภาพเป็ดที่มีล้อ เพื่อล้อกับคำนี้อีกทอดหนึ่ง

ซึ่งเจ้า Duckroll นี้ก็ได้กลายเป็นหมุดหมายสำคัญของการแกล้งกันด้วยรูปแบบการเชื่อมโยง Hyperlink ที่มีชื่อน่าสนใจ เย้ายั่วมือให้กดตามต้นทางเนื้อหาไป แต่พอคลิปลงก์เข้าไปก็กลายเป็นหน้าตาของเจ้าเป็ดตัวนี้แทน

ด้วยรูปแบบการแกล้งกันแบบนี้เอง ก็เป็นวิธีที่คนใช้หลอกคนอื่นให้กดลิงก์มายังเพลง ‘Never Gonna Give You Up’ ด้วยเหมือนกัน จากเหตุการณ์ในเดือนมีนาคม 2007 ซึ่งตัวอย่างแรกของเกม Grand Theft Auto IV ได้เปิดตัวเป็นครั้งแรกบนเว็บไซต์ Rockstar Games ที่มีผู้เข้าชมสูงมากจนเว็บต้นทางล่ม บนเว็บบอร์ดต่าง ๆ ที่พูดถึงเรื่องนี้ก็มีคนโพสต์วิดีโอมิเรอร์ของตัวอย่างเกมนี้เพื่อให้คนที่ยังไม่ได้ดูได้ดู แต่ก็จะมีลิงก์ปลอมจำนวนหนึ่งที่ถูกทำให้ผู้คนได้ดูวิดีโอเพลงนี้ และมีหลายคนหลงเชื่อด้วย

Vice Media เคยสัมภาษณ์ถึงผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับ Meme นี้อย่าง Shawn Cotter ในปี 2022 ถึงเหตุผลว่าทำไมถึงเลือกใช้เพลงนี้เป็นปลายทองของลิงก์ปลอม เขากล่าวว่ามันคือเพลงที่ปรากฎในรายชื่อเพลงที่เป็นที่นิยมในช่วงปี 1987 ซึ่งเป็นปีที่เขาเกิด มันเลยเป็นเหตุผลที่เขาคัดเลือกสิ่งนี้มา จนในช่วงเดือนเมษายน 2007 หรือปีเดียวกัน ในวันเมษาหน้าโง่ ก็มีคนนำวิธีการนี้ไปใช้ต่อบนเว็บวอร์ด 4chan และเริ่มแพร่กระจายไปสู่เว็บไซต์อื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ และนั่นเองก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการแปลงชื่อ Meme ‘Duckrolling’ สู่ ‘Rickrolling’ ไปโดยปริยาย

จากมีมบนโลกออนไลน์ กระจายสู่โลกกระแสหลักจริงๆ

จากการสำรวจของ Survay USA ในเดือนเมษายน 2008 มีการประมาณการว่าผู้คนวัยผู้ใหญ่ชาวอเมริกันกว่า 18 ล้านคนเคยถูก Rickrolling มาแล้ว

จากเรื่องตลกไร้สาระบนโลกออนไลน์ ก็กลายมาเป็น Meme ที่ผู้คนใช้แกล้งกันในรูปแบบ Prank บนโลกความจริงในยุคนี้ด้วย ไล่เรียงจากในปี 2006 ที่เอริก เฮลวิก ชาวบ้านในชนบทชาวมิชิแกนได้โทรศัพท์เข้ารายการทอล์กโชว์วิทยุท้องถิ่น แต่แทนที่เขาจะคุยกับดีเจ เขากลับเปิดเพลง ‘Never Gonna Give You Up’ ใส่เขาแทนจนดีเจพูดไม่ออก รวมถึงกลายเป็นท่าที่คนในวงการบันเทิงใช้ในการหลอกผู้ชมในเรื่องต่าง ๆ เช่น ในเดือนเมษายน 2018 ที่ทางทีมผู้สร้างซีรีส์ Westworld ได้ทำคลิปที่โปรยว่าเป็นการสปอยล์เนื้อหาของซีซั่นที่ 2 ทั้งหมด แต่เนื้อหาด้านในดันเป็นการ Cover เพลงนี้ โดยมีนักแสดงนำทั้งหมดมาร่วมร้องและเล่นเปียโนประกอบ

หรืออย่างในช่วงท้ายของเรื่อง Ralph Breaks the Internet (2018) หลัง End Credit มีการเปิดภาพว่าหลังจากนี้จะเป็นการสปอยล์ Frozen II พร้อมทั้งเปิดโลโก้ก่อนเปิดตัวเป็นครั้งแรก หลังจากในนั้นก็มีภาพของเกล็ดน้ำแข็งลอยขึ้นมากลางจอ ก่อนภาพจะเปลี่ยนเป็น Ralph ร้องเพลง ‘Never Gonna Give You Up’ Cover และเลียนแบบการเต้นของริคจากมิวสิควิดีโอต้นฉบับแทน

นอกจากนี้ยังมีอีกหลากหลายเหตุการณ์ที่เพลงนี้ได้เข้ามาสู่ชีวิตจริงได้มากขึ้น ที่ยิ่งทำให้เราเห็นว่าเพลงในอดีตจากยุค 80 เพลงนี้ก็สามารถเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้คนบนโลกออนไลน์ในยุคหนึ่งได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือ ‘Rick Astley’ ก็ได้กลับมาอยู่ในสายตาของผู้คนอีกครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ท่ามกลางความก้าวหน้าของวงการเพลงที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง

ที่มา

AUTHOR

Content Creator

พนักงานมือใหม่ที่สนุกกับการหาเรื่องมาเล่า ไม่มีสิ่งที่ชอบตายตัว มีแต่สิ่งที่ชอบแล้ว และกำลังหาสิ่งใหม่ที่ชอบต่อไป