เมื่อช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมามีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจและถูกหยิบยกขึ้นมาถกเถียงกัน อันเนื่องมาจากคำกล่าวบางช่วงบางตอนของ ดร.ตฤณห์ โพธิ์รักษา นักอาชญวิทยา ที่ถูกเชิญไปออกรายการโหนกระแส ในกรณีลูกนักการเมืองดังทำร้ายร่างกายชายคนหนึ่งจนกระโหลกศีรษะยุบ โดย ดร.ตฤณห์ตอบคำถามของพิธีกรที่ถามถึงสาเหตุของพฤติกรรมการวิพากษ์วิจารณ์โดยใช้ถ้อยคำรุนแรงต่อผู้อื่นว่าเกิดจากปัจจัยใด
ทางดร.ตฤณห์ตอบคำถามได้อย่างน่าสนใจว่า บางครั้งในการสื่อสารอะไรลงไปในโลกอินเทอร์เน็ตที่มีความเร็วสูง ผู้กระทำอาจไม่ได้คิดพิจารณาเชิงตรรกะในการกลั่นกรองคำพูดของตนเอง แต่ใช้อารมณ์แทน (ทำนองว่าไม่ได้ใช้สมองด้านเหตุผล) นอกจากนี้ยังกล่าวอีกว่า การใช้อารมณ์มักง่ายกว่าการใช้เหตุผล เพราะตอนเด็กแม่อาจจะเขย่าแรงไปหน่อย ทำให้สมองส่วนหน้าได้รับความกระทบกระเทือน จนไม่สันทัดในการใช้เหตุผลระงับอารมณ์
หลังจากที่ดร.ตฤณห์ตอบคำถามนี้ในรายการ หลายคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นในเชิงชื่นชมการตอบคำถามที่ไร้คำหยาบคายทว่าเจ็บลึกถึงทรวงใน เนื่องจากวิธีการพูดของดร.ตฤณห์ต้องใช้ระดับความรู้ความเข้าใจประมาณหนึ่ง กว่าจะรู้ว่าเขากำลังวิจารณ์ถึงการถูกเลี้ยงดูมาแบบขาดองค์ความรู้ นำไปสู่การที่เด็กเติบโตมาแบบไร้ตรรกะเหตุผล ซึ่งเป็นการตอบกลับแบบอารยชนปนเจ็บใจ ที่บ่งบอกว่าระดับชั้นทางองค์ความรู้มีผลต่อความคิดและทรรศนะในการมองโลกจริง ๆ
ประเด็นต่อมาที่น่าสนใจคือ ดร.ตฤณห์ไม่ได้พูดไปเรื่อย แต่พูดบนพื้นฐานที่สามารถเกิดขึ้นได้จริง โดยฟังก์ชั่นการทำงานของสมองส่วนหน้า (Forebrain) จะสอดประสานกับสมองหลายส่วน แต่หน้าที่หลักของมันคือ ควบคุมระบบความคิด พฤติกรรม การแก้ไขปัญหา การวางแผน ความจำ อารมณ์ และอวัยวะส่วนบน ประกอบไปด้วย สมองส่วนทาลามัส (Thalamus) ทำหน้าที่รับรู้ความเจ็บปวดและแสดงพฤติกรรม สมองส่วนไฮโปทาลามัส (Hypothalamus) ทำหน้าที่ควบคุมความหิว ความง่วง อุณหภูมิ และความต้องการทางเพศ สมองส่วนออลเฟกทอรีบัลบ์ (Olfactory bulb) ทำหน้าที่ควบคุมการรับกลิ่น และสมองส่วนซีรีบรัม (Cerebrum) ทำหน้าที่เรียนรู้และพัฒนาทักษะต่าง ๆ อีกทั้งยังเป็นสมองส่วนที่มีรอยหยักเยอะมากที่สุด
เราจะสังเกตเห็นได้ว่าสมองส่วนหน้ามีความเชื่อมโยงกับทักษะการเรียนรู้ การใช้ความคิด การวางแผน การควบคุมอารมณ์ และการแสดงพฤติกรรม ซึ่งหากสมองส่วนหน้าได้รับความเสียหายหรือความกระทบกระเทือนก็จะทำให้พฤติกรรม ความสนใจ และอารมณ์บกพร่องไปจากเดิมหรือแสดงในสิ่งที่ตรงกันข้าม โดยเฉพาะในเด็กที่มีความหนาของเปลือกสมองน้อยกว่า 0.5 เซนติเมตร ยิ่งทำให้ได้รับความกระทบกระเทือนง่าย ส่งผลต่อความสามารถในการเคลื่อนไหว การเข้าใจสิ่งที่เห็นหรือได้ยิน รวมถึงการคิดของเด็ก ซึ่งเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนในการตัดสินใจ การเรียนรู้ การจดจำ และการวางแผนในอนาคต
ในงานวิจัย Long Term Consequences: Effects on Normal Development Profile after Concussion ในปี 2012 เกี่ยวกับผลกระทบระยะยาวหากได้รับบาดเจ็บทางสมอง ระบุว่า ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทางสมองอาจส่งผลให้เกิดความเครียดทางร่างกาย อารมณ์ และความคิด นอกจากนี้ยังส่งผลเสียต่อพัฒนาการด้านต่าง ๆ ในเด็กและวัยรุ่น ทำให้สมาธิสั้นลง IQ ต่ำ และมีปัญหาด้านการสื่อสารทางภาษา อีกทั้งยังส่งผลต่อระบบควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายอีกด้วย
นอกจากนี้การ “เขย่า” เด็กแรงเกินไปมักนำผลเสียที่รุนแรงให้เกิดตามมา โดยศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า Shaken Baby Syndrome เป็นกลุ่มอาการบาดเจ็บทางสมองในเด็กเล็กที่เกิดขึ้นเมื่อทารกหรือเด็กวัยเตาะแตะถูกเขย่าจนทำให้สมองของทารกบวมช้ำ มีเลือดออก และอาจนำไปสู่ความเสียหายของสมอง ความพิการตลอดชีวิต หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยสาเหตุการเกิดมักมาจากความพยายามในการกล่อมหรือทำให้ทารกที่กำลังร้องไห้หยุดงอแงด้วยการอุ้มแล้วเขย่า ซึ่งในบางครั้งการเขย่าแรงไปอาจทำให้สมองได้รับความกระทบกระเทือน สิ่งที่น่าสนใจคือการเขย่าตัวทารกอย่างรุนแรงเพียงแค่ 5 วินาทีก็สามารถทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่ส่งผลให้สมองได้รับความเสียหาย พิการถาวร หรือเสียชีวิต
เอาเข้าจริงแล้วสิ่งที่ดร.ตฤณห์กล่าวมาไม่ใช่แค่การต่อว่าเสียดสีหรือวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมที่เป็นปัญหา ทว่ายังสะท้อนถึงสาเหตุอันลึกลับซับซ้อนที่ซ่อนไว้ในพฤติกรรมเฮงซวยของบางคน ซึ่งมีที่มาที่ไปจากการเลี้ยงดูที่มีปัญหา สะท้อนถึงการเติบโตมาในแวดล้อมที่ขาดความเข้าอกเข้าใจ จนทำให้เมื่อโตมามีระบบทางความคิดเชิงตรรกะที่บิดเบียว จนแสดงออกมาเป็นการกระทำแย่ ๆ ในสังคม พูดง่าย ๆ คือ เพราะพ่อแม่เลี้ยงมาไม่ดีโตมาเลยมีปัญหานั่นเอง
ที่มา
- https://www.rch.org.au/kidsinfo/fact_sheets/brain_injury_how_the_brain_works/
- https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/13779-shaken-baby-syndrome
- https://pmc.ncbi.nlm.nih.gov/articles/PMC3208826/