“ถ้าถามว่าภูมิใจตัวเองมั้ย ภูมิใจมาก แต่ต้องคอยบอกตัวเองให้ภูมิใจตลอด”
ประโยคนี้แทงจึกในใจเรา ระหว่างฟังเรื่องราวชีวิตของ ‘SILVY’ หรือ ‘ซิลวี่ – ภาวิดา มอริจจิ’ นักร้องผู้โดดเด่นด้านพลังเสียงที่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงและวงการเพลงนับสิบปี และถูก ‘ค่านิยม’ ที่กำลังเป็นไปในสมัยนั้นกดทับ จนกลายเป็นความกดดันที่ทำให้เธอเคว้งคว้างไม่น้อยในช่วงชีวิตหลากหลายช่วงเวลา
ก่อนที่เธอจะข้ามผ่านวันเวลาเหล่านั้นได้ด้วยการ ‘รักตัวเอง’ ในแบบที่หลายคนอยากเป็น แต่ยังข้ามไม่พ้นความเป็นไปของโลกที่ฉุดรั้งเอาไว้
SUM UP เลยชวนเธอมาทบทวนชีวิตบนเส้นทางความฝัน ที่ถูกมาตรฐานความสวยของโลกปิดกั้นตัวตน และช่วงเวลาที่เธอตัดสินใจเป็นตัวเองแบบเต็มที่อย่างในทุกวันนี้กัน

เริ่มต้นการเป็นสายร้องประกวด สู่เวที The Star 7
เธอเรียนร้องเพลงมาตั้งแต่อายุ 7 ปี ด้วยการยึดถือวิถีการร้องแบบสายโชว์พลังเสียง แนวเพลงที่หยิบมาร้องบ่อย ๆ ก็อย่าง I will always love you – Whitney Houston หรือ I have nothing – Whitney Houston ซึ่งเพลงนี้ก็ทำให้ซิลวี่ชนะเลิศการประกวด Yamaha Thailand Music Festival ระดับประเทศตอนอายุ 15 ปี ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดนี้เธอก็เป็นหนึ่งในนักร้องประกวดร้อยเวทีเหมือนกัน
จนมาถึงเวที The Star 7 (2554) ที่เปลี่ยนชีวิตให้เธอมีชื่อเสียงเพิ่มขึ้น ในฐานะของนักร้องสาย Diva คนใหม่ของเมืองไทย ที่มีเหตุผลของการเลือกตัวตนนี้มาจากการเป็นสายร้องมา เลยทำให้ซิลวี่เข้าใจว่าไปประกวดในรายการมันก็ต้องโชว์เสียงมากที่สุด ก็เลยเป็นภาพแบบที่ทุกคนได้เห็นกัน


สั่งสมปมในใจ จนทำให้ชีวิตพลิกผันโดยไม่รู้ตัว
ใน The Star 7 เธอเข้ารอบ 8 คนสุดท้าย แต่ถูกคัดออกในสัปดาห์ที่ 3 ของการแข่งขัน จนทำให้เธอเกิดอาการนอยด์กับตัวเอง และเคว้งคว้างในสิ่งที่เรียกว่า Passion หลักของชีวิต ในขณะเดียวกันก็มีสัญญากับต้นสังกัด 5 ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทำให้ซิลวี่ได้ลองทำหลายสิ่งมากมาย ทั้งแสดงละครโทรทัศน์ หรือแสดงละครเวทีในฐานะของ Ensemble
แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่าง ทั้งความผิดหวังที่เกิดขึ้นจากการประกวด การถูกกดทับจาก Beauty Standard ในสังคมยุคนั้นที่ค่อนข้างเคร่งต่างจากยุคนี้ ทำให้เธอต้องลดน้ำหนักเพื่อรับงานบางชิ้น หรือการนำเธอไปแสดงบทบาทสมมติที่พอมองกลับไปยุคนั้นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกดีอย่างที่ควรจะเป็น อย่าง Music Video เพลงเดี่ยวเพลงแรกในชีวิต แอบมีน้ำตา ที่ซิลวี่เล่นเป็นนักเรียนรุ่นน้องแอบรักรุ่นพี่ และมีบทพูดที่คุยกับปลาทองอย่างจี้ใจดำ “รู้ไหม แกอะเหมือนฉันเลยนะ ตัวดำ ๆ ตาโต ๆ ไม่น่ารักเหมือนคนอื่นเขา” ซึ่งเป็นประโยคที่สะท้อนมาตรฐานความสวยยุคนั้นอย่างเป็นรูปธรรม อีกทั้งความเกเรเล็ก ๆ ส่วนตัวตั้งแต่เด็กที่ จ.ภูเก็ต ซึ่งยังคอยมีแม่คอยห้ามปราม ทำให้พอมาอยู่กรุงเทพฯ เธอก็เลือกใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง ทิ้งเป้าหมายที่เคยสำคัญ และเริ่มดำดิ่งลงไปในความมืดมิดในจิตใจที่ค่อย ๆ ดำสนิทลงทีละน้อย
ดึงชีวิตกลับมาได้ เพราะพลังบวกจากคนรอบตัว
“ช่วงนั้นเป็นช่วงที่แบบตกต่ำในชีวิตมากจนลืมตัว แต่ว่ามีคนรอบข้างก็คือแม่”
ในฐานะศิลปินดารา ไม่แปลกนักที่เมื่อกระแสน้อยลง ความสนใจก็น้อยลงตาม ทำให้ช่วงเวลาที่ชีวิตเริ่มคลำหาทางไปต่อไม่ถูก คนใกล้ตัวก็เป็นผู้ที่น่าจะช่วยให้ซิลวี่กลับขึ้นมาสู่แสงสว่างได้
“เขาพยายามใส่ Input ว่าซิลวี่ต้องรักตัวเองนะ ค่อย ๆ ดึงเรา ค่อย ๆ แบบ Plant the Seed เราว่าแบบเรามีดี เราอย่างนู้นอย่างนี้ ซิลวี่ต้องคิดว่าอ้วนก็น่ารัก คือแม่ Input สิ่ง ๆ นี้มาจนเรามองในกระจกแล้วก็รู้สึกว่า โอเค เราเห็นต้นขาให้มันใหญ่ขึ้นเห็นตัวที่มันบวมขึ้น แล้วก็บอกว่าช่างแม่ง
เราก็เลยรู้สึกว่าดึงตัวเองกลับมาได้โดยที่มีแม่เป็นคนที่คอยไกด์เรา ทำให้เราเลิกยาแล้วกลับมารักตัวเอง แล้วก็จำได้ว่าความฝันของเราคืออะไร เหมือนเราแค่ Shift Focus จากที่เราเคยมองว่าแบบเราอยากปาร์ตี้ อยากสนุกกับชีวิตสุดโต่ง ตอนนี้เราเปลี่ยนเอาความสนุกตรงนั้นเนี่ยมาอยู่บนเวทีแทน”

การเริ่มต้นความฝันครั้งใหม่ภายใต้ ‘ความกลัว’
ช่วงเวลาของการเปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่นั้นพอดีกับการหมดสัญญา ทำให้เธอเริ่มค่อย ๆ ค้นหาตัวเองว่าแท้จริงแล้วชอบอะไร และอยากทำอะไรกันแน่ ทั้งลองไปสัก ตัดผมสั้น ฟังเพลงแนวอื่นที่ไม่เคยได้ฟัง หรือแม้กระทั่งการไปประกวดร้องเพลงอีกครั้งในเวที The Voice Thailand Season 6 (2560-2561) เพื่อค้นหาแนวทางใหม่ของตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้วเธอยังมี ‘ความกลัว’ ที่ยังสลัดไม่ออก ถึงขนาดกับพูดกับโค้ชโจอี้ บอย ที่เธอเลือกว่า “เฮีย ยังไงก็ได้ ขอไม่เป็น Divas” เพราะเธออยากฉีกจากภาพตัวเองที่หลายคนจำได้ เพื่อทดลองเป็นนักร้องสายใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยลอง หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นช่วงที่ซิลวี่อยาก Break Free จาก Norm ที่สังคมตัดสินไปแล้วว่าเธอเป็น ‘แบบไหน’
แม้แต่จังหวะชีวิตดี ๆ ที่เธอเริ่มต้นทำช่อง Youtube SILVY เพื่อลงคลิปคัฟเวอร์เพลงแล้วได้รับความสนใจ หรือถูก Valentina Ploy แนะนำไปยัง Warner Music Asia ที่กำลังหาศิลปินมาเซ็นสัญญา ทำให้เธอได้เข้าสังกัดและปล่อยผลงานเพลง XL (2564) ที่มีคนแชร์เยอะมาก และติดเทรนด์ทวิตเตอร์อันดับที่ 7 เธอก็ยอมรับว่าตัวเอง ‘ไม่กล้าดีใจ’ กับความสำเร็จขนาดนั้น เพราะเจ็บและผิดหวังมาเยอะจนไม่กล้าคาดหวัง
ขนาดคำถามที่เราถามว่า “ณ วันนี้เราภูมิใจกับตัวเองมากน้อยแค่ไหนที่มาถึงจุดนี้ได้” เธอยังตอบอย่างจริงใจว่า “ถ้าถามว่าภูมิใจตัวเองมั้ย ภูมิใจมาก แต่ต้องคอยบอกตัวเองให้ภูมิใจตลอด เพราะว่าเราไปตกม้าตายในการกลับไปเป็นแบบเด็กไม่มั่นใจในตัวเองง่ายมาก มันทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องพยายามมากกว่าคนอื่น เพราะว่าเป็นเรามันไม่พอ ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นเราแค่นี้มันดีแล้ว มันดีพอแล้ว เลยต้องคอย Self Affirm ตัวเองตลอดเวลา”

เป็นตัวเองอย่างภาคภูมิใจ จนใครก็ยกให้เป็น Icon
จากผลงาน XL ที่มาถูกจังหวะเวลาพอดิบพอดีกับห้วงเหตุการณ์ของบ้านเราที่มีการปลดแอกจากพันธนาการค่านิยมเก่าที่เกาะกินสังคมมายาวนาน ทำให้เพลงนี้ทำให้ผู้คนเห็นถึงชุดความคิดใหม่ ๆ ที่จะกลายเป็นพลังบวกให้แก่ผู้คนที่โดน หรือเคยโดนค่านิยมเหล่านี้ควบคุมชีวิตมาก่อน ได้ใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองอยากใช้มากขึ้น
แม้ในบางมุมจะยังมีผู้คนในสังคมไม่เข้าใจอยู่บ้าง แต่หากมองว่าเป็นเราเองที่ได้ใช้ชีวิตแบบที่อยากเป็น แต่งตัวในแบบที่อยากแต่งโดยไม่ต้องสนใจใคร เหมือนทุกครั้งที่ซิลวี่จะดูจะเป็นคนแรง ๆ หรือทำอะไรนอกกรอบไปบ้าง เหตุผลของมันจริง ๆ เลยคือการทำเพื่อ ‘ชีวิต’ ที่เป็นของเธอเองจริง ๆ อย่างมั่นใจ และมันทำให้สภาพจิตใจของเธอแข็งแรงขึ้นในทุก ๆ วัน
“ที่เราพูดเรื่อง Body Positive หรือเรื่อง Anything Positive เพราะมันเป็นประสบการณ์จริงที่เราคอยบอกตัวเองเสมอ เราก็ผ่านอะไรมาเยอะ แล้วก็รู้ว่า Positive มันดีกว่า Negative จริง ๆ” เธอย้ำกับเราอีกครั้ง