“ยาผมเลิกได้นะ แต่สเก็ตผมเลิกไม่ได้จริง ๆ
ยาติดแล้วมันยังเลิก แต่สเก็ตติดแล้วมันเลิกไม่ได้”
ซุ่มเสียงของ แบงค์ – สุรพงศ์ ประไพภักดี ยังคงกึกก้องสะท้อนอยู่ในหัว เราเจอแบงค์ครั้งแรกใต้สะพานพระราม 8 เขาเป็นชายหนุ่มอายุ 20 ปี รูปร่างผอมสูงสวมเสื้อยืดสกรีนลาย “Black Mirror” ซึ่งเป็นลายเดียวกันกับสเก็ตบอร์ดที่เข้าใช้เล่นในค่ำคืนนั้น ก่อนรู้ในภายหลังว่าบอร์ดที่เขาใช้รวมถึงเสื้อที่สวมใส่เป็นแบรนด์สเก็ตบอร์ดฝีมือคนไทยที่คอยสนับสนุนและอยู่เบื้องหลังทั้งตัวเขาและคอมมิวนิตี้สเก็ตบอร์ดในไทย ด้วยสตอรี่ที่น่าสนใจประกอบกับฝีไม้ลายมือของแบงค์ทำให้อดไม่ได้ที่จะเข้าไปพูดคุยกับเขา ถึงแม้ว่าขณะนั้นแบงค์จะโชกชุ่มไปด้วยเหงื่อที่ไหลมาปรกหน้า แต่เขาก็ตอบคำถามและเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเองรวมถึงที่มาของการเล่นสเก็ตบอร์ดให้เราฟังด้วยแววตาอันเป็นประกาย
“บ้านผมอยู่แถวโลตัสปิ่นเกล้า เรียนจบชั้น ปวช. จากวิทยาลัยสารพัดช่างพระนคร ตอนนี้ทำงานเป็นช่างยนต์อยู่แถวจรัญสนิทวงศ์ ทุกเย็นหลังเลิกงานผมจะมาฝึกซ้อมสเก็ตอยู่เป็นประจำ ถ้านับตั้งแต่วันที่เริ่มหัดยืนบนแผ่นบอร์ดครั้งแรกจนถึงตอนนี้ก็เป็นเวลาเกือบ 10 ปีแล้วที่ผมใช้ชีวิตโลดแล่นผาดโผนอยู่ในลานสเก็ต”

“ย้อนกลับไปตอนผมอายุ 11 ขวบ พี่ชายเดินทางกลับมาจากประเทศเยอรมันเพื่อมาเยี่ยมผมกับแม่ที่บ้าน ตอนนั้นเขาเอาสเก็ตบอร์ดติดตัวมาด้วย นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นสเก็ตบอร์ดและวิธีการเล่นของมัน แต่สิ่งนั้นก็ยังไม่ใช่ตัวจุดชนวนให้ผมรู้สึกอยากลองเล่นมันอย่างจริงจัง กระทั่งพี่ชายเปิดหนังเรื่อง ‘Lord of Dogtown’ ที่เป็นหนังเกี่ยวกับชีวิตเด็กสเก็ตบอร์ดรุ่นแรก ๆ ให้ดู ผมเลยรู้สึกเหมือนได้รับแรงบันดาลใจ จึงขอให้พี่ชายช่วยสอนสเก็ตบอร์ดมาตั้งแต่นั้น”
“ความจริงชีวิตผมมันก็ไม่ได้ราบรื่น จำได้ว่าครั้งแรกที่ลองลงแข่งดูก็เจอกับนักสเก็ตบอร์ดทีมชาติ เขาเก่งมากจนผมที่ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอมาตลอดก็เอาชนะเขาไม่ได้ หลังจากแพ้ในครั้งแรกผมก็รู้สึกไม่อยากแข่งอีก ไม่มีแรงจูงใจในการเล่นที่อยากจะฝึกฝนหรือฝึกซ้อม จนหลงผิดออกนอกลู่นอกทางเลิกเล่นไปหลายครั้ง”
“ครั้งแรกติดเพื่อน ครั้งที่สองติดยาเสพติด ครั้งที่สามก็หายไปเคลียร์ตัวเอง แล้วก็กลับมาซ้อมอย่างจริงจังอีกครั้ง เพราะยาผมเลิกได้นะ แต่สเก็ตบอร์ดผมเลิกไม่ได้จริง ๆ ยาติดแล้วมันยังเลิกได้ แต่สเก็ตติดแล้วมันเลิกยาก การกลับมาในครั้งนี้ผมก็เน้นฝึกซ้อมจริงจัง เพราะเร็ว ๆ นี้ผมกำลังจะกลับมาลงแข่งอีกครั้ง”





หลังจากคุยกันเราถามแบงค์ต่อเรื่องการถูกซัพพอร์ตในฐานะอาชีพนักสเก็ต โดยเขาเล่าว่าในตอนนี้มีแต่คนแวดวงเดียวกันที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เพราะส่วนใหญ่สายตาจากคนภายนอกมองว่าสเก็ตเป็นแค่กิจกรรมฆ่าเวลาของเด็กวัยรุ่น ซึ่งความจริงแล้วมันไม่ใช่ ทุกคนจริงจังกับการเล่นไม่ว่าจะเพื่อความสนุกหรือการแข่งขัน และที่สำคัญสเก็ตบอร์ดไม่ใช่กีฬาที่เรียกร้องอะไรมากมาย ขอแค่มีสถานที่ อุปกรณ์เล็กน้อย เช่น แผ่นบอร์ด กางเกง รองเท้า หากต้องการซัพพอร์ตวงการสเก็ตบอร์ดในไทยก็ไม่ต้องอะไรมาก แค่ช่วยสนับสนุนอุปกรณ์และสถานที่ก็พอ ที่เหลือเด็ก ๆ เขาก็ไปขวนขวายกันเอาเอง
แน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึงต่างประเทศที่เห็นว่าสเก็ตบอร์ดสำคัญอย่างไร มันเป็นทั้งวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของเขา ค่าตัวนักกีฬาสเก็ตบอร์ดบ้านเขาเทียบเท่ากับเงินเดือนนักกีฬาทั่วไป ขณะที่เงินเดือนนักกีฬาสเก็ตบอร์ดของไทยแทบไม่พอใช้ด้วยซ้ำ หลายคนต้องประกอบอาชีพอย่างอื่นเสริมเพื่อเลี้ยงปากท้อง แล้วเราจะเรียกตัวเองว่านักกีฬาได้เต็มปากหรือไม่ ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่อยากฝากไว้ให้ภาครัฐหรือผู้เกี่ยวข้องได้มองเห็นถึงความสำคัญตรงนี้ เพราะมันก็มีผลต่อเด็ก ๆ ในอนาคตด้วย
“ผมเห็นเด็กหลายคนที่เก่งได้เพราะมาเล่น มาฝึกซ้อมกันทุกวัน เด็กตัวเล็ก ๆ บางคนเก่งกว่าผมด้วยซ้ำ ผมถึงเชื่อว่าหากมีคนเห็นถึงความสำคัญในเรื่องนี้และช่วยซัพพอร์ตอย่างจริงจัง ไม่นานประเทศเราผลิตนักกีฬาสเก็ตบอร์ดได้เยอะมากแน่ อย่างน้อยมันก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้เด็กใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ มันคงดีถ้าเด็ก ๆ หลงใหลในสเก็ตบอร์ดกว่าการหลงผิดคิดทำสิ่งไม่ดี”





จากการพูดคุยกับแบงค์ทำให้เราสะท้อนอะไรบางอย่างในตัวเด็กหนุ่มคนนี้ออกมาได้ ไม่สำคัญว่าคุณจะแพ้มาแล้วกี่ครั้ง ผิดพลาดมาแล้วกี่หน หากหัวใจของคุณยังร่ำร้องให้ออกไปทำในสิ่งที่รัก ไม่ว่าคุณจะแพ้หรือจะล้มอีกสักกี่ครั้ง ชีวิตก็พร้อมที่จะ Flip กลับมาใหม่ได้เสมอ