ตอนอ่านหัวข้อการวิจัยนี้ ภาพแรกที่ปรากฏขึ้นมาในหัวคือ มิวสิกวิดีโอเพลง SLOW DANCING IN THE DARK ของ Joji ความเงียบเหงา ทึมเทาที่คละเคล้าไปกับควันบุหรี่ มันทำให้นึกถึง “ความป่วยไข้ทางใจ” ที่แฝงไว้ภายใต้จิตสำนึกของใครบางคน ซึ่งอาจฟังดูเท่เหมือนคาแรกเตอร์ในหนังอินดี้ แต่เรื่องแบบนี้ก็ไม่ควรมองข้าม เพราะหากคุณสูบบุหรี่จัดติดต่อกันนานหลายปี ลองมาสำรวจความเศร้าหรือความไม่สมประดีภายในจิตใจกันดีกว่า แต่ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า บุหรี่เชื่อมโยงกับสภาวะทางจิตใจอย่างไร
ในงานวิจัย Smoking Behaviour and Mental Health Disorders—Mutual Influences and Implications for Therapy ที่เผยแพร่ในปี 2013 เกี่ยวกับการสำรวจความเชื่อมโยงระหว่างพฤติกรรมการสูบบุหรี่และความผิดปกติทางจิตเวชต่าง ๆ พบว่า ผู้ที่สูบบุหรี่มีแนวโน้มที่จะเข้าข่ายเกณฑ์การป่วยทางจิตมากกว่าผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่ เช่น โรคจิตเภท โรคสมาธิสั้น โรควิตกกังวล โรคไบโพลาร์ และโรคซึมเศร้า นอกจากนี้ยังพบอีกว่า การเลิกบุหรี่ช่วยบรรเทาอาการทางจิตเวชได้ แต่ถึงอย่างนั้นมีหลักฐานที่บ่งชี้ว่า ผู้ที่มีความผิดปกติทางจิตมีแนวโน้มเลิกบุหรี่ได้ยากกว่าคนทั่วไป
โดยกลุ่มคนวัยผู้ใหญ่ในสหรัฐอเมริกาที่เป็นโรคซึมเศร้ามีแนวโน้มที่จะสูบบุหรี่มากกว่าคนปกติประมาณสองเท่าหรือคิดเป็น 42% อีกทั้งยังมีการคาดการณ์ว่า ผู้ที่มีภาวะทางจิตเวชอย่างน้อยหนึ่งรายสูบบุหรี่เกือบครึ่งหนึ่งหรือคิดเป็น 44% ของบุหรี่ทั้งหมดที่บริโภคในสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากการเป็นมะเร็งปอดและหัวใจมากที่สุดอันดับหนึ่ง มากเสียยิ่งกว่าการเสียชีวิตจากการติดแอลกอฮอล์
กลไกการทำงานของสารนิโคตินในบุหรี่นั้นเชื่อมโยงกับการทำงานของสารเคมีในสมอง เมื่อเราบริโภคยาสูบเข้าไป นิโคตินจะกระจายเข้าสู่ปอดและเข้าสู่สมองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จะเข้าทำปฏิกิริยากับตัวรับอะเซทิลโคลีนนิโคตินิก (nAChRs) หรือตัวตอบสนองต่อสารสื่อประสาท ส่งผลให้มีการปล่อยสารสื่อประสาทหลายชนิดออกมาในปริมาณมาก โดยเฉพาะโดพามีน (Dopamine) หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ ฮอร์โมนแห่งความสุข ทีนี้พอนิโคตินเข้ามามีบทบาทกับสารเคมีในสมองของกลุ่มคนที่มีความผิดปกติทางจิต ซึ่งโดยปกติมักมีปัญหากับการหลั่งสารเคมีในสมองอยู่แล้ว ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้รู้สึกเสพติดและต้องการพึ่งพานิโคตินอยู่ตลอด
แต่การทำงานของนิโคตินกับสารเคมีในสมองไม่ใช่แค่ปล่อยโดพามีนยับยั้งความเศร้าหรืออารมณ์ที่ไม่คงที่เท่านั้น จากการวิจัยดังกล่าวยังระบุว่า กลไกที่เชื่อมโยงภาวะสุขภาพจิตกับการสูบบุหรี่มีความซับซ้อนและแตกต่างกันไปในแต่ละโรค พูดง่าย ๆ คือ นิโคตินหลั่งสารสื่อประสาทออกมาหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดจะไปยับยั้งจุดที่บกพร่องอันทำให้เกิดโรคทางจิตต่าง ๆ เช่น โรคจิตเภท (Schizophrenia) ที่ผู้ป่วยมักมีอาการเห็นภาพหลอนหรือหูแว่ว การได้รับนิโคตินจะช่วยปิดกั้นการรับเสียงที่ผิดปกติ ซึ่งอาจทำให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นชั่วคราว
ทีนี้หากคุณมีพฤติกรรมติดบุหรี่มาเป็นระยะเวลาหลายปีแบบรู้สึกขาดมันไม่ได้ ลองมาสำรวจตัวเองกันสั้น ๆ ว่า คุณกำลังจะเข้าข่ายมีอาการป่วยทางจิตหรือไม่ เพื่อพิจารณาและเข้ารับการรักษาต่อไป ซึ่งหากมีอาการมากกว่า 2 อย่างขึ้นไป คุณอาจมีความผิดปกติของสารเคมีในสมอง ที่ต้องได้รับการบำบัดหรือรักษาในลำดับถัดไป
- นอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไป โดยเป็นมานานมากกว่าสองสัปดาห์
- อยากเก็บตัวอยู่คนเดียว ไม่อยากสุงสิงกับใคร
- ไม่มีสมาธิจดจ่อกับเรื่องใดทั้งสิ้น
- รู้สึกควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้
- ร้องไห้ง่าย ร้องไห้บ่อย แม้แต่กับเรื่องเล็ก ๆ
- บางครั้งรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่ควรมีชีวิตอยู่
- ปวดหัว ปวดตัว ปวดหลัง หรือมีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร เช่น กรดไหลย้อน ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- กินมากหรือน้อยกว่าปกติ จนน้ำหนักขึ้นหรือลงเร็วผิดปกติ
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงการสำรวจอาการเบื้องต้น แต่หากรู้สึกว่าช่วงนี้ร่างกายและอารมณ์ของตนเองมีความผิดปกติจนกระทบกับการใช้ชีวิต ลองปรึกษาแพทย์หรือเข้ารับการรักษาอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะอาการทางจิตเหล่านี้หากปล่อยไว้นานวันจะยิ่งทวีคูณความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นยิ่งรู้ตัวเร็วก็ยิ่งสามารถแก้ไขได้เร็ว ถ้ามัวแต่สูบบุหรี่ไปวัน ๆ เพื่อชะลอความฟุ้งซ่าน อาจเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดก่อนที่อาการทางจิตจะสำแดงออกมาอย่างรุนแรงเป็นแน่
ที่มา