“เราต้องใช้เวลา 10 – 20 ปี ในการผลักดันวงการภาพยนตร์ไทยให้ไปสู่ระดับโลกได้”

บางถ้อยคำจากบทสนทนาของ ‘หม่อมราชวงศ์เฉลิมชาตรี ยุคล’ หรือที่รู้จักกันในนาม คุณชายอดัม ซึ่งเราได้มีโอกาสพูดคุยกับเขาถึงบทบาทการเป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการซอฟต์พาวเวอร์และผู้อยู่เบื้องหลังอุตสาหกรรมภาพยนตร์กับมุมมอง ‘อนาคตหนังไทย’ ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหนอย่างไรบ้าง

🚩 คณะอนุกรรมการซอฟต์พาวเวอร์เข้ามาทำอะไรบ้าง

คุณชายอดัมเล่าว่า ถ้าตอบแบบสั้น ๆ หน้าที่ของคณะอนุกรรมการซอฟต์พาวเวอร์จะเข้ามาสร้าง ‘ลู่ทาง’ ให้เกิดโอกาสและรายได้ให้กับประเทศผ่านอุตสาหกรรมด้านศิลปะในแขนงต่าง ๆ ต่อมาคือการสร้าง ‘เป้าหมาย’ ว่าเราควรมุ่งหน้าไปสู่จุดใด ซึ่งเป้าหมายของซอฟต์พาวเวอร์ไทยในตอนนี้คือการผลักดันให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 5 เสือด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในเอเชียรองจากจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลี โดยเราต้องแข่งขันกับไต้หวัน ออสเตรเลีย รัสเซีย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เป้าหมายดังกล่าวรวมถึงภารกิจต่าง ๆ ต่างก็ต้องใช้วิถีทางในการบุกฝ่าไปผ่านการแก้ไขกฎหมาย การรื้อปรับโครงสร้าง การหางบประมาณมาสนับสนุน การผลักดันให้หนังไปสู่เทศกาลภาพยนตร์ การริเริ่มการประกวดต่าง ๆ และการสร้างกลุ่มคนรุ่นใหม่ กระบวนการเหล่านี้ล้วนต้องใช้เวลา มันไม่อาจสำเร็จได้ในเร็ววัน ทุกอย่างต้องทำอย่างต่อเนื่องและตั้งใจ

🚩 สร้างความหลากหลายแก่ผู้ชม เพื่อรองรับตลาดที่กว้างขึ้น

อีกหนึ่งข้อสำคัญในการผลักดันหนังไทยให้มีขอบเขตที่กว้างขึ้น เพื่อรองรับกับตลาดโลกจึงเป็นหนึ่งในความตั้งใจของคุณชายอดัมและคณะอนุกรรมการซอฟต์พาวเวอร์เช่นกัน โดยคุณชายอดัมกล่าวว่า อีกหนึ่งอย่างคือต้องปลูกฝังให้คนไทยมีความหลากหลายในการรับชมภาพยนตร์มากขึ้น เพื่ออุดหนุนหนังทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นสารคดี หนังสั้น หรือหนังเฉพาะทาง เพื่อขยายให้คนทำหนังแนวทางเลือกอื่นในบ้านเราเติบโตขึ้น และแข็งแกร่งพอที่จะไปขายในระดับโลก ซึ่งจะเพิ่มการลงทุนจากฟากเอกชนโดยที่ไม่ผูกขาดกับกลุ่มทุนใดกลุ่มทุนหนึ่ง และสร้างเครื่องมือในการทำงานให้กับคนทำงานด้านนี้ เพื่อที่ผลงานจะมีคุณภาพมากขึ้น

🚩 อาจต้องใช้เวลา 10 – 20 ปี กว่าจะไปถึงเป้าหมาย

เราถามกับคุณชายอดัมต่อว่า เป้าหมายและกระบวนการทั้งหมดทั้งมวลต้องใช้เวลาเท่าไหร่ คุณชายตอบคำถามพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ ว่า เราอาจต้องใช้เวลา 10 – 20 ปี เป็นอย่างต่ำ กว่าจะขึ้นมาสู่สายตาชาวโลกได้ เพราะอย่างประเทศในแถบใกล้เคียง อย่าง เกาหลีและญี่ปุ่นก็ใช้เวลา 20 – 30 ปี กว่าพวกเขาจะมายืนอยู่ในจุดนี้ได้ ด้วยเส้นทางที่ไม่ง่ายเช่นกัน เพราะอย่างประเทศญี่ปุ่นก็เคยถูกแบนจากประเทศสหรัฐอเมริกา จนเขาสามารถออกมาจากเซฟโซนและผลิตผลงานศิลปะดี ๆ ได้ ที่เราเรียกว่า ‘New Era After Hesei’ แต่อย่างไรก็ตามญี่ปุ่นพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้เขาก้าวขึ้นมาสู่หนึ่งในประเทศที่ขายงานศิลปะได้เกือบทุกแขนงทั่วโลก

อย่างไรก็ตามเมื่อได้ตกตะกอนจากบทสนทนาของคุณชายอดัมที่เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา จึงทำให้เราได้ทราบว่าไม่มีอะไรจะได้มาง่าย ๆ ในเร็ววัน หลายส่วนผู้ชมในประเทศอย่างเราเองก็มีผลต่อการผลักดันงานศิลปะอยู่ไม่น้อย ไม่เพียงแต่เรื่องภาพยนตร์ ทว่ารวมถึงงานศิลปะแขนงอื่น ซึ่งหากไม่มีใครเสพ ไม่มีใครซื้อ ก็ไม่มีใครสามารถผลิตออกมาได้ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนผ่าน ทรรศนะในการดูหนังของคนในสังคมเปิดกว้างมากขึ้น ก็ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่มีแนวโน้มว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทยจะเติบโตตามไปด้วย ต่อไปก็เหลือแค่วันเวลาและความตั้งใจทำอย่างไม่หยุดพักจะนำพาเราไปสู่ทิศทางใด ซึ่งเราเชื่อว่าความอุตสาหะจะไม่ทรยศใครอย่างแน่นอน