แชมป์ฟุตบอลยูโร 2024, EURO 2024

สิ้นเสียงนกหวีดการแข่งขันที่สนามโอลิมเปียสตาดิโอน กรุงเบอร์ลิน บนสมรภูมิลูกหนังของสองชาติคู่ชิงอย่าง “ทัพกระทิงดุ” ทีมชาติสเปน 🇪🇸 พบกับ “ทัพสิงโตคำราม” ทีมชาติอังกฤษ 🏴󠁧󠁢󠁥󠁮󠁧󠁿 จบลงภายในเวลาการแข่งขันตลอด 90 นาที

และเป็นกระทิงชุดแดงที่ปาดแซงนำท้ายเกมขวิดสิงโตตัวเต็งไปได้ด้วยสกอร์ 2 – 1 จากสำรองซูเปอร์ซับอย่าง “มิเกล โอยาร์ซาบัล” และพาให้พวกเขาคว้าแชมป์จ้าวยุโรปไปครองได้เป็นสมัยที่ 4 เป็นแชมป์สูงสุดของรายการนี้ และยังมอบปิดทางอกหักกลับบ้าน “Football coming home!” ของทีมชาติอังกฤษอีกครั้งเป็น 2 สมัยติดในการชิงในถ้วยใบนี้

โดยสเปนชุดนี้มีความน่าสนใจมากมาย พวกเขาเคยครอบครองเป็นมหาอำนาจลูกหนังในช่วงฤดูกาล 2008 – 2012 ที่สามารถคว้าแชมป์ประดับบารมีทั้ง 2 ถ้วยบอลยูโรในปี 2008 และ 2012 และยังสามารถทะยานไปคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกได้ในปี 2010

ด้วยจุดหลักของพวกเขาคือ “สปีดบอล” จากการจ่ายและเล่นครองเกมเหนือกว่าคู่แข่ง หรือที่รู้จักกันในกลยุทธสุดดังอย่าง “ติกิ-ตากา” ที่สร้างประสิทธิภาพในวิธีการเล่นฟุตบอลจนนำพาพวกเขาคว้าความสำเร็จต่าง ๆ มาได้

แต่ในฟุตบอลยูโรล่าสุด สเปนมีการปรับตกแต่งทัพการเล่นของพวกเขา จนสามารถพิชิตทีมชาติอังกฤษได้ด้วยรูปแบบการเล่นที่ถูกยกระดับขึ้นผ่านยอดโค้ชอย่าง “หลุยส์ เด ลา ฟวนเต้” จนทำให้พวกเขาสามารถครองแชมป์สูงสุดมาได้ พวกเขามีวิธีการอย่างไรต่อความสำเร็จครั้งนี้ วันนี้เราไปเรียนรู้ศาสตร์แห่งความสำเร็จนี้ไปด้วยกัน

🇪🇸 : จุดขายที่ไร้เทียมทานของสเปนอย่างระบบ “ติกิ-ตากา”

หากพูดถึงสเปนชุดนี้ที่มีคุณภาพมากสุด คงหลีกนี้สเปนชุดดังช่วงปลายปี 2000 ถึงต้นปี 2010 โดยสเปนเดิมเป็นทีมที่ถูกวิจารณ์ว่าเป็น “หมูสนามจริง สิงห์สนามซ้อม” ด้วยเป็นขาประจำของฟุตบอลทัวร์นาเมนต์แต่มักลงเอยด้วยการตกรอบเป็นส่วนใหญ่

พวกเขาจึงค่อย ๆ หาวิธีการและรูปแบบการเล่นของพวกเขา โดยนักฟุตบอลของประเทศสเปนส่วนใหญ่เป็นผู้เล่นที่มีความเป็นอัจฉริยะ และมักใช้ศาสตร์ของฟุตบอลนำไปใช้ในเกมการแข่งขัน ซึ่งมาจากอิทธิพลงของทีม “บาร์เซโล่นา” ของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่เน้นในการครองบอล และจ่ายบอลจากเท้าสู่เท้าบนสนามหญ้าที่มีคุณภาพและเสียการครองบอล

ผนวกกับการมีแดนกลางที่มีส่วนต่อการคุมเกมทั้งสนาม และเป็นหัวใจของการเล่นที่มีส่วนต่อผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับทีมชาติสเปน ในขณะเดียวกันแนวรับยังมีแท็กติกที่มีเล่ห์เหลี่ยมแยบยล ส่งผลให้ทีมชาติสเปนมีขุมกำลังมีศักยภาพสูงที่พร้อมจะสร้างความน่ากลัวให้กับคู่แข่ง และยังเป็นทีมที่ดันตัวเองขึ้นสู่การเป็นมหาอำนาจลูกหนังไปช่วงหนึ่งที่ประวัติศาสตร์ฟุตบอลไม่เคยมีมา

🇪🇸 : “เด ลา ฟวนเต้” ผู้เข้ามาปรับให้สเปนเป็นกระทิงที่แกร่งขึ้น

แม้จะเคยยิ่งใหญ่จากรูปแบบติกิตากา สไตล์ แต่พวกเขาก็มาเจอทางตันเมื่อผู้เล่นในชุดที่ดีที่สุดเริ่มโรยรา อีกทั้งถูกจับทางวิธีการเล่นได้ ส่งผลให้พวกเขาพยายามจะปรับแนวทางของทีมให้กลับไปครองความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง

โดยการเข้ามาของ “หลุยส์ เด ลา ฟวนเต้” หลังจากที่สเปนผ่านช่วงเวลาตกต่ำจากอดีตที่แสนหอมหวานไปจากพวกเขา หลังจากเคยคุมทีมชาติ U-21 และชุดเหรียญเงินจากโอลิมปิกปี 2020

ด้วยความคุ้นชินกับทีมชาติเป็นอย่างดี รวมถึงอายุที่แม้จะปาเข้าไป 63 ปีแล้ว แต่ด้วยรูปแบบของฟุตบอลยุคใหม่ที่เน้นการแย่งเข้าถึงบอลเพื่อนำลูกฟุตบอลมาครอบครองที่การเล่นของตัวเอง รวมถึงยังปรับใช้คุณภาพเดิมจากการเล่นแบบสปีดบอลที่ส่งถึงกันอย่างรวดเร็วและสร้างพื้นที่กดดันให้คู่แข่งเสียการครองบอลให้มากสุด

นับเป็นวิธีการที่ทันสมัยและสามารถใช้ได้ผลกับสเปนชุดลุยศึกฟุตบอลยุโรที่เพิ่งได้แชมป์มานี้ โดยในรอบแบ่งกลุ่มพวกเขาสามารถเอาชนะทุกทีมในกลุ่มบีมาได้

  • สเปน 🇪🇸 ชนะ โครเอเชีย 🇭🇷 ด้วยสกอร์ 3 – 0
  • สเปน 🇪🇸 ชนะ อิตาลี 🇮🇹 ด้วยสกอร์ 1 – 0 (ล้มแชมป์)
  • แอลเบเนีย 🇦🇱 แพ้ สเปน ด้วยสกอร์ 0 – 1

โดยเข้ามาเป็นแชมป์อันดับแรกของกลุ่ม เข้าสู่รอบตัดเชือกที่ประกบคู่เริ่มต้นเจอกัน

สเปน 🇪🇸 ชนะ จอร์เจีย 🇬🇪 ด้วยสกอร์ 4 – 1 ล้มม้ามืด
มาพบกับเจ้าภาพในรอบ 8 ทีมด้วย สเปน 🇪🇸 ชนะ เยอรมัน 🇩🇪 ด้วยสกอร์ 2 – 1
และเข้าสู่รอบชนะเลิศพบกับเต็งแชมป์ สเปน 🇪🇸 ชนะ ฝรั่งเศส 🇫🇷 ด้วยสกอร์ 2 – 1
ก่อนมาจบด้วยการเข้าชิงที่ล้มอังกฤษไปได้

🇪🇸 : การผสมผสานเป็นฝูงกระทิงดุยุคใหม่

จากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในการได้แชมป์ครั้งนี้ นอกจากเครดิตที่ยกให้กับโค้ชของทีม อย่าง เด ลา ฟวนเต้แล้ว เหล่าผู้เล่นชุดนี้เองก็มีส่วนสำคัญต่อการเล่นที่ทำให้สเปนชุดนี้มีหลากหลายทางการเล่นฟุตบอล

จากเดิมที่มีคุณภาพของผู้เล่นระดับมันสมองจากอดีต แต่ผู้เล่นในชุดนี้กลับเน้นไปที่การสร้างพลังงานในสนามสำหรับ “เพรสซิ่ง” หรือกดดันแย่งบอลจากคู่แข่ง และยังมีผู้เล่นความสามารถสูงที่อายุยังน้อย แต่สร้างอิมแพคต่อการเล่นฟุตบอลได้อย่างเช่น “ลามีน ยามาล” ที่อายุเพียงแค่ 16 ปี กับผลงาน 1 ประตู 4 แอสซิสต์ ที่คว้ารางวัล “ดาวรุ่งยอดเยี่ยม” แสดงให้เห็นถึงคุณภาพที่เข้ากับวิธีการเล่นของทีม

และยังมีผู้เล่นคนสำคัญอีกมากมายโดยเฉพาะคุณภาพของกลางอย่าง “โรดรี้” ที่แม้จะเจ็บในรอบชิง แต่ด้วยการเล่นคุมมาตรฐานการเล่นในแดนกลาง ทำให้เกิดสมดุลของทีมเห็นได้จากผลการแข่งขันที่มีผลชัยชนะอย่างสม่ำเสมอของสเปน จนเขาได้รับรางวัล “ผู้เล่นยอดเยี่ยม” ของศึกครั้งนี้ไปครอง

ทีมชาติสเปนในตอนนี้ไม่ได้ตัดจุดดีที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติ แต่เพิ่มการมีพละกำลังในสนามให้สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลง และเป็นผลชัยชนะที่นำมาสู่ทีม อย่างที่สเปนชุดนี้แสดงให้เห็นด้วยการเถลิงบัลลังก์ขึ้นไปสู่การเป็นจ้าวยุโรปสูงสุดในเวลานี้ 🇪🇸🏆

อ้างอิง