ตลอดช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่เจอปัญหา “บัตรคอนเสิร์ตราคาแพงขึ้น” เพราะประเด็นนี้เกิดขึ้นไปทั่วโลกนับตั้งแต่หลังโควิด-19 เป็นต้นมา เหตุที่เป็นแบบนั้นก็เพราะ “ค่าตัวศิลปิน” ที่เป็นต้นทุนหลักของคอนเสิร์ตต่าง ๆ “เพิ่มขึ้น” โดยเฉพาะ K-pop ที่ “เกาหลีเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ” ในทุก ๆ ปี ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา นี่ยังไม่รวม “ค่าโปรดักชัน” กับ “อัตราเงินเฟ้อ” อีก
ถ้ามัวแต่เครียดกับเรื่องราคาบัตร เราก็คงไม่ได้ไปดูคอนเสิร์ตของศิลปินคนโปรดสักที แต่จะดีแค่ไหนถ้าวันนี้ได้รู้ว่า การไปดูคอนเสิร์ตช่วยยกระดับสุขภาพจิตของเราให้ดีขึ้นได้ อย่างน้อย ๆ ข้อดีในเรื่องนี้ก็อาจลดความเครียดเรื่องเงินที่ต้องจ่ายค่าบัตรลงไปได้
การดูคอนเสิร์ต สามารถทำให้เรามีชีวิตยืนยาวขึ้น
ข้อมูลงานวิจัยจากบริษัท O2 ผู้ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์ไร้สายของประเทศอังกฤษ เจ้าของสถานที่ทางดนตรีหลายแห่งทั่วประเทศ เช่น The O2 Arena, O2 Academy ได้ร่วมกับ ผู้ช่วยศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยโกลด์สมิธส์ (Goldsmith’s University) แพทริก ฟาแกน (Patrick Fagan) ผู้เชี่ยวชาญทางพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioural Science) ทำงานวิจัยที่บ่งชี้ว่า การไปดูคอนเสิร์ตของศิลปินคนโปรดสามารถทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นได้มากถึง 21% และหากทำติดต่อกันเป็นประจำก็จะช่วยเพิ่มอายุขัยให้ยืนยาวมากขึ้นอีก 9 ปี
ผู้วิจัยใช้การวัดผลทางจิตวิทยาและอัตราการเต้นของหัวใจของผู้ร่วมทดสอบ โดยพิจารณาจากสภาวะระหว่างการทำกิจกรรมว่าผู้กระทำมีความสุขมากน้อยขนาดไหน ควบคู่ไปกับการตอบแบบสอบถาม ผลปรากฏว่า การไปชมคอนเสิร์ตนั้นทำให้ค่าดัชนีความสุขสูงขึ้นอย่างน่าสนใจ ดังต่อไปนี้
- มีผลกระตุ้นทางจิตใจ 75%
- รู้สึกไม่โดดเดี่ยว ใกล้ชิดกับผู้อื่นมากขึ้น 25%
- เห็นคุณค่าของตนเองมากขึ้น 25%
- อีก 67% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ระบุว่า การไปดูคอนเสิร์ตทำให้พวกเขามีความสุขมากกว่าอยู่บ้านเฉย ๆ
ประเทศไทยมีคอนเสิร์ตจัดขึ้นเป็นจำนวนมาก แม้จะไม่มีผลดีกับเงินในกระเป๋าของแฟนเพลงอย่างเรา ๆ สักเท่าไร เพราะราคาบัตรขยับขึ้น ต้นทุนในการผลิตคอนเสิร์ตมีราคาที่ต้องจ่ายมากขึ้น แต่การจัดคอนเสิร์ตแต่ละครั้งนอกจากจะสร้างความสุขให้ผู้ชม ทำให้สุขภาพจิตดีขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ยังช่วยผลักดันเศรษฐกิจรอบ ๆ สถานที่จัดคอนเสิร์ตให้เติบโต ทั้งอาหาร การเดินทาง ที่พัก สินค้าที่ระลึก สินค้าที่ใช้ประกอบในคอนเสิร์ต และอื่นๆ จากการจับจ่ายของแฟนเพลงทั้งไทยและต่างชาติ รวมถึงการสร้างรายได้มากถึง 35-40% ให้กับธุรกิจเพลงอีกด้วย
