วันนี้ (14 สิงหาคม 2567) เวลา 15:00 น. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนัดอ่านคำวินิจฉัยคดีพิจารณาคุณสมบัติความเป็นนายกรัฐมนตรีของ เศรษฐา ทวีสิน จากกรณีที่ประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรค 3 ประกอบมาตรา 82 โดยศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 เสียงให้เศรษฐา ทวีสิน สิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) กรณีแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

สาเหตุมาจากเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2567 เศรษฐา ทวีสิน ได้ยื่นรายชื่อทูลเกล้าฯ เพื่อแต่งตั้งรัฐมนตรีชุดใหม่ โดยหนึ่งในนั้นมี พิชิต ชื่นบาน ผู้ที่เคยถูกสภาทนายความถอดชื่อออกจากทะเบียนผู้ประกอบวิชาชีพทนายเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากพิชิตเคยถูกศาลฎีกาสั่งตัดสินจำคุก 6 เดือน จากกรณีที่ลูกทีมของเขายัดเงินจำนวน 2 ล้านบาทให้กับธุรการศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในช่วงที่พิชิตเป็นทนายความให้ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีทุจริตซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก 

ต่อมา วัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยขอให้ไต่สวน เศรษฐา ทวีสิน ว่าส่อกระทำผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ ในการแต่งตั้ง พิชิต ชื่นบาน ให้ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ส่งผลให้เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 สภาชิกวุฒิสภา (สว.) จำนวน 40 คน ยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภา ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของ เศรษฐา ทวีสิน และ พิชิต ชื่นบาน 

หลังจากที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องทางธุรการ ในกรณีการพิจารณาคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของเศรษฐาและพิชิตได้เพียงแค่ 5 วัน พิชิตก็ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายก โดยกำหนดให้มีผลทันที และต่อมาในวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญมติ 6 ต่อ 3 เสียงรับคำร้องกรณีพิจารณาคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรีของเศรษฐาและพิชิต ทว่ามติ 5 ต่อ 4 เสียงไม่สั่งให้เศรษฐาหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี

กระทั่งวันที่ 12 มิถุนายน 2567 ศาลรัฐธรรมนูญประชุมปรึกษาคดี ให้คู่กรณียื่นบัญชีระบุพยานหลักฐานต่อศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 18 มิถุนายน 2567 จากนั้นในวันที่ 24 กรกฎาคม 2567 ศาลรัฐธรรมนูญได้สั่งยุติการไต่สวนคดีดังกล่าว และนัดแถลงด้วยวาจาในวันที่ 14 สิงหาคม 2567 (วันนี้) 

อย่างไรก็ตามแคนดิเดตผู้ที่จะขึ้นมาเป็นนายกคนต่อไปแทนเศรษฐาจะมีการลงมติเลือกในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร (ไม่มี สว.) โดยบุคคลที่จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ต้องมีรายชื่ออยู่ในบัญชีนายกรัฐมนตรีของพรรคการเมืองที่มี สส. ในสภาไม่น้อยกว่า 5% หรือมี สส. เกิน 25 เสียงขึ้นไป โดยในตอนนี้เหลืออยู่ 7 คน จากทั้งหมด 5 พรรค ได้แก่ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย, ชัยเกษม นิติสิริ สส.พรรคเพื่อไทย, อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย, พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรครวมไทยสร้างชาติ, พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ, พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.จากพรรคประชาธิปัตย์