ซีรีส์ Black Mirror

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้ หลายสิ่งหลายอย่างบนโลกใบนี้กำลังขับเคลื่อนไปทีละองคาพยพ บ้างเร็ว บ้างช้า แต่อย่างน้อยการขับเคลื่อนของสิ่งเหล่านี้ก็ได้นำพาบางสิ่งบางอย่างกลับคืนมา ทั้งเรื่องดี ไปจนถึงเรื่องแย่ ๆ ที่เราคาดคิดไม่ถึง

คงไม่ใช่เรื่องแปลกนักที่เราจะวิพากษ์วิจารณ์การมีอยู่ของเทคโนโลยี เพราะนอกจากมันจะทำให้เห็นว่าเรากำลังเห็นมันเป็นแบบไหน มันยังทำให้เห็นว่าเรากำลัง (ใกล้จะ) เห็นมันเป็นแบบไหน (ในอนาคต) และดูเหมือนสิ่งหนึ่งที่น่าจะเป็นตัวแทนวิพากษ์วิจารณ์สิ่งนี้ได้อย่างถึงพริกถึงขิง และสร้างภาพแห่งจินตนาการให้เราพออนุมานได้ คงหนีไม่พ้นซีรีส์ดังทาง Netflix ที่กำลังถูกพูดถึงอีกครั้งอย่าง ‘Black Mirror’ ซีรีส์สะท้อนภาพความเทา ไปจนถึงความดำมืดของเทคโนโลยีรอบตัวเรา ผ่านพล็อตเหนือจินตนาการที่ชวนตั้งคำถาม และพาเราไปหาชุดคำตอบจากเรื่องราวในแต่ละตอน

ทั้งเรื่องการลักพาตัวของเจ้าหญิงประเทศอังกฤษ ที่คนร้ายจะปล่อยตัวเจ้าหญิงก็ต่อเมื่อนายกรัฐมนตรีมีอะไรกับหมูเป็น ๆ ในตอน ‘The National Anthem’ จากซีซันที่ 1, การที่เพื่อนร่วมงานของ CTO ในบริษัททำเกมออนไลน์หลายผู้เล่น ถูกก๊อบปี้ DNA ใส่เข้าไปในเกมโลกเสมือนนั่น และบีบบังคับให้ต้องทำทุกอย่างตามใจอยากในโลกที่เขาควบคุมมันได้แค่คนเดียวในตอน ‘USS Callister’ จากซีซันที่ 4 หรือการที่มนุษย์ซึ่งอยู่ในอาการโคม่า ใกล้เสียชีวิต ต้องเข้าสู่ทางเลือกการใช้บริการสมัครสมาชิกแบบรายเดือน เพื่อให้ตัวเองยังคงมีชีวิตอยู่ได้ในตอน ‘Common People’ จากซีซันที่ 7 ซึ่งเป็นซีซันล่าสุดของซีรีส์นี้

‘ชาร์ลี บรู๊คเกอร์ (Charlie Brooker)’ นักเขียนบท ผู้สร้างรายการ พิธีกร นักเขียน นักวาดการ์ตูน และนักวิจารณ์สังคมชาวอังกฤษ คือผู้อยู่เบื้องหลังแนวคิดซีรีส์แห่งโลกดิสโทเปียนี้มากว่า 14 ปีเข้าไปแล้ว และตลอดทั้ง 7 ซีซัน เราน่าจะเห็นแล้วว่าเทคโนโลยีในโลกคู่ขนาน มันจะทำให้ ‘โลกมนุษย์’ กลายเป็นแบบไหนไปได้บ้าง

ชาร์ลี บรู๊คเกอร์ (Charlie Brooker)
ภาพจาก The Hollywood Reporter

ซีรีส์นี้เกิดขึ้นมาจากการที่ชาร์ลีเริ่มก้าวเข้ามาทำงานในวงการโทรทัศน์ และเขารู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถในการสร้างสรรค์เนื้อหาที่วิพากษ์วิจารณ์สังคมได้น่าสนใจ โดยเฉพาะกับเรื่องเทคโนโลยี เขาจึงเริ่มสนใจสร้างสรรค์เนื้อหาแนวทางนี้ และเริ่มนำเอาแรงบันดาลใจจากซีรีส์ทางโทรทัศน์หลาย ๆ เรื่อง ทั้ง The Twilight Zone (1959–1964), Tales of the Unexpected (1979–1988) และ Hammer House of Horror (1980) ซึ่งมีวิธีการนำเสนอเป็นธีมหลักตลอดทั้งซีซัน และเนื้อหาในแต่ละตอนไม่ได้มีความเชื่อมต่อกัน ดูแยกตอนกันได้ เพียงแต่มันถูกเล่าบนหลักใหญ่ใจความเดียวกันเหมือนหนังสือรวมเรื่องสั้นเล่มหนึ่ง

ในปี 2010 เขาและ ‘แอนนาเบล โจนส์ (Annabel Jones)’ จึงเริ่มต้นสร้างสรรค์ซีรีส์ชุดนี้ขึ้นมาด้วยแนวคิดหลักคือ “What if” หรือการนำเสนอแนวคิดสมมติซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพียงแต่อยู่ในโลกจินตนาการ และไม่ว่าไอเดียจะดูไร้สาระหรือเป็นแนวคิดที่ดูน่าขบขันแค่ไหน โทนการนำเสนอของเรื่องจะดำเนินไปอย่างจริงจังและตรงไปตรงมาเสมอ อีกทั้งในการสร้างสรรค์เรื่องราวขึ้นมา ทั้งเขาและแอนนาเบลต่างยึดมั่นแนวคิดความรู้สึกไม่เชื่อในการกระทำของตัวละคร ภายใต้เรื่องราวที่กำลังดำเนินไปในสถานการณ์ที่ดูไม่ปกติ พวกเขาจะปล่อยให้เรื่องราวดำเนินไปแบบนั้น เพื่อให้มันดูสมจริงในโลกของตัวละคร

ซีรีส์ BLACK MIRROR

‘Black Mirror’ เริ่มต้นออกอากาศซีซันแรกในวันที่ 4 ธันวาคม 2011 ทาง Channel 4 จำนวน 3 ตอน ประกอบไปด้วย The National Anthem (เพลงชาติ), Fifteen Million Merits (ความดีสิบห้าล้านประการ) และ The Entire History of You (เรื่องในอดีตทั้งหมดของคุณ)

ซีรีส์นี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก และได้รับการรีวิวว่าเป็นเนื้อหาที่นำเสนอเรื่องราวที่ดูไม่น่าเชื่อ แต่ยังคงให้ความรู้สึกเหมือนจริงได้ในขณะเดียวกัน และการเล่าเรื่องราวของโลกดิสโทเปียผ่านเทคโนโลยีล้ำยุคหลุดสมัยแบบนี้ก็สร้างความเชื่อมโยงเป็นใจความเดียวกันได้อย่างแข็งแรง และเข้าถึงใจผู้คนได้อย่างมากมาย

อีกทั้งการมอบมุมมองเชิงลบต่อสิ่งก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในทุก ๆ ตอน ผ่านเรื่องราวความหายนะของชีวิตในแต่ละตัวละคร ซึ่งผสมผสานแนวคิดหลาย ๆ อย่างเข้าด้วยกัน ทั้งเรื่องความเป็นส่วนตัว แนวคิดความเป็นปัจเจก แนวคิดบริโภคนิยม หรือแนวคิดชายเป็นใหญ่ และการพาเรื่องราวไปสู่จุดจบที่ไม่ค่อย Happy Ending เลยในแต่ละตอน ทำให้ซีรีส์นี้ได้รับคำวิจารณ์เชิงบวก และได้รับการขนานนามให้เป็นหนึ่งในซีรีส์ทางโทรทัศน์ที่ดีที่สุดในยุค 2010 อีกด้วย

สิ่งที่น่าสนใจหลังจากนั้นผ่านมุมมองของ The Hollywood Reporter คือการที่คำว่า ‘Black Mirror’ กลายเป็นคำเรียกของสิ่งที่พอจะเป็นลางบอกเหตุร้ายที่มาจากเทคโนโลยีไปแล้วในยุคนี้ และในมุมมองของชาร์ลี เขาก็รู้สึกน่ากังวลไม่น้อยที่บางเทคโนโลยีจากจินตนาการในซีรีส์กลายมาเป็นของจริงในยุคนี้ด้วยเวลาอันรวดเร็ว และเขาก็คิดว่าจริง ๆ แล้ว สิ่งที่เขาพยายามทำในฐานะผู้สร้างสรรค์ซีรีส์ คือการย้ำเตือน และสร้างความตระหนักในเทคโนโลยี มากกว่าที่เขาจะคาดการณ์ว่าสิ่งที่สมมติไว้จะกลายเป็นจริงในโลกทุนนิยมอันแสนน่ากลัว

จนถึงปัจจุบัน ซีรีส์ชุดนี้ก็ได้ออกอากาศมาแล้ว 7 ซีซันด้วยกัน และซีซันล่าสุดก็ดูจะเป็นอีกหนึ่งซีซันที่กำลังถูกพูดถึงได้อย่างน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมันมีความโดดเด่นในฐานะ Black Mirror ในแบบฉบับดั้งเดิมอีกครั้ง ผ่านการหยิบประเด็นเทคโนโลยีจ๋า ๆ มาต่อยอดให้กลายเป็นเรื่องราวที่น่าสนใจเหมือนเช่นเคย และดูเหมือนว่าเรื่องราวในแต่ละตอนของซีรีส์ชุดนี้จะดูเมื่อไหร่ก็ได้ ดูตอนไหนก่อนก็ได้ และจะดูในปีไหนก็ได้ เพราะความล้ำยุคของมันสะท้อนแนวคิดความเทา ๆ และความดำมืดของเทคโนโลยีทางสังคมได้อย่างน่าชื่นชม

และถ้าหากถามชาร์ลีว่า Black Mirror จะสามารถมีซีซันใหม่ ๆ ต่อไปเรื่อย ๆ ได้หรือไม่ เขาก็ตอบได้อย่างเต็มปาก ด้วยความหวังว่างานสร้างสรรค์ชุดนี้จะยังคงทำงานต่อไป เพราะมันเป็นทั้งงานที่สนุก และทำให้เขาได้ขบคิดกับเรื่องของเทคโนโลยีที่กำลังพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วในโลกแห่งควมเป็นจริง ซึ่งหมายถึงว่ายิ่งเวลาผ่านไป เขาก็ยิ่งเห็นไอเดียใหม่ ๆ จากเทคโนโลยีมากมายที่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด และเขาก็สามารถเด็ดมันมาแปรรูปกลายเป็นเมนูที่น่าเย้ายวนได้แบบไม่รู้เบื่อเลย

ที่มา

AUTHOR

Content Creator

พนักงานมือใหม่ที่สนุกกับการหาเรื่องมาเล่า ไม่มีสิ่งที่ชอบตายตัว มีแต่สิ่งที่ชอบแล้ว และกำลังหาสิ่งใหม่ที่ชอบต่อไป