‘พัทยา’ พื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญของภาคตะวันออกที่เราทั้งทีมลงพื้นที่ไปทำสกู๊ปพิเศษชิ้นแรกของกองอย่าง ‘Pattaya Hit Story’ ด้วยการมองว่าพัทยาน่าจะเป็นพื้นที่ที่ผู้คนหลากหลายอาจจะมองเห็นความเป็นจริงของมันเพียงไม่กี่มุม เพราะพัทยาอาจจะมีหน้าตาเป็นแค่เมืองท่องเที่ยว แล้วแง่มุมอื่น ๆ ในความเป็นสถานที่หนึ่งที่มีการพัฒนาขึ้นไปอย่างต่อเนื่องล่ะ จะเป็นอย่างไร
เราจึงสนใจไปยังประเด็นเชิงประวัติศาสตร์ ว่าแท้จริงแล้ว ‘พัทยา’ มีประวัติศาสตร์เป็นของตัวเองมั้ย แล้วประวัติศาสตร์ของพื้นที่ที่ทุกอย่างเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วแบบนี้จะมีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร ซึ่งเนื้อหาที่เราเลือกใช้นั่นคือการมองไปยังตุ๊กตาตัวหนึ่งที่เรียกว่า ‘อาหารพื้นถิ่น’ สิ่งที่น่าจะพอชี้ให้เห็นได้อย่างคร่าว ๆ ว่าแง่มุมเชิงวัฒนธรรมท้องถิ่นของแต่ละพื้นที่นั้นคืออะไร เป็นแบบไหน และสามารถทำให้ผู้คนถอยออกมามองภาพรวมของพื้นที่นั้น ๆ ได้บ้างหรือเปล่า
SUM UP เลยได้นักวิชาการที่มีมุมมองทั้งแง่มุมเชิงประวัติศาสตร์ แง่มุมในการทำงานในฐานะนักวิชาการเชิงประวัติศาสตร์ในพื้นที่ชลบุรี และบังเอิญเหลือเกินที่เธอก็เป็นหนึ่งในแว่นที่สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นพัทยาในยุคที่เรากำลังมองหาได้อีกด้วย เธอคือ ‘อาจารย์สุมาลี พันธุ์ยุรา’ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ที่เรื่องราวที่เธอเล่าให้เรากว่า 2 ชั่วโมง ทำให้เราเห็นมุมมองที่หลากหลายของพัทยามากมาย
และเราอยากเล่าเรื่องราวเหล่านั้นให้คุณได้รู้จักหน้าตาของ ‘พัทยา’ นี้ด้วยเช่นกัน

เล่าถึงพัทยาในยุคแรก ๆ ผ่านแง่มุมประวัติศาสตร์หรือประสบการณ์ที่ได้เจอให้เราฟังแบบคร่าว ๆ หน่อย
ถ้าเราดูความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ ชลบุรีเนี่ยมีความหลากหลายของเชื้อชาติมากเลยค่ะ มีทั้งกลุ่มคนลาว คนจีน รวมถึงกลุ่มคนอื่น ๆ ด้วย เพราะด้วยลักษณะทางภูมิสาสตร์ที่มันเข้าถึงง่ายจากการเป็นชายฝั่งทะเล ซึ่งมันก็ส่งผลให้วัฒนธรรมของชลบุรีมีความแตกต่างหลากหลายค่อนข้างมาก
ส่วนในอดีตเลยเนี่ย ถ้าอ้างอิงตามลักษณะทางภูมิศาสตร์ มันทำให้พื้นที่ที่โดดเด่นตอนนั้นแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ คือบริเวณตอนในแถวอำเภอพนัสนิคม ที่ประชาชนส่วนใหญ่ก็จะทำเกษตรกรรม ซึ่งก็ไม่ได้เยอะมากนัก ส่วนบริเวณรอบนอกตามชายทะเลในอดีตเป็นหมู่บ้านชาวประมง ไม่ได้มีผู้คนหลากหลายมากเหมือนกับยุคนี้ วัฒนธรรมดั้งเดิมส่วนใหญ่ของคนในบริเวณนี้ก็จะเป็นรูปแบบวิถีชีวิตในการหาสัตว์ทะเล และอยู่อาศัยกันริมชายฝั่งเป็นส่วนใหญ่
เราเกิดที่พนัสนิคม เรียนที่นั่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ คุณพ่อคุณแม่ทำงานด้านรัฐวิสาหกิจ มีช่วงนึงที่เราไปเรียนที่กรุงเทพฯ แล้วก็มีโอกาสได้เห็นพัทยาในช่วงประมาณทศวรรษ 2520 ก่อนที่เราจะเข้าไปอยู่ที่ศรีราชา เพราะคุณพ่อไปทำงานที่นั่น
ตอนนั้นเป็นช่วงที่เรากำลังเรียนประถมศึกษา ช่วงวันหยุดสี่คนพ่อแม่ลูกก็จะชอบซ้อนมอเตอร์ไซค์กันไปพัทยา ช่วงนั้นถ้าอ้างอิงกันตามประวัติศาสตร์มันก็หลังสงครามเวียดนามไม่นาน การคมนาคมเริ่มดีขึ้นแล้ว แต่สองข้างทางยังเป็นป่าอยู่เลยนะ เพราะต้องบอกว่าตอนนั้นการท่องเที่ยวที่เริ่มถูกส่งเสริมมันยังไม่ได้บูมเท่าตอนนี้ ตอนนั้นยังเน้นเป็นรูปแบบการท่องเที่ยวแบบธรรมชาติ ๆ อยู่ การที่เราจะเห็นร้านค้าหรือเตียงผ้าใบยุคนั้นเป็นไปได้ยากมาก มีโรงแรม คอนโดมิเนียมขึ้นมาบ้างแล้ว ชายหาดพัทยายุคนั้นก็ลงไปเล่นได้แบบง่าย ๆ ผู้คนไม่ค่อยหนาแน่นด้วย

ถ้าให้มองผ่านแว่นของอาจารย์ คิดว่าอะไรเป็นจุดที่ชี้ให้เห็นว่าพัทยากำลังจะกลายร่างเป็นเมืองท่องเที่ยวอย่างชัดเจนมากขึ้น
เราว่าการขยายตัวของโรงแรมกับสถานบันเทิงคือสิ่งที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นคอนโดมิเนียมยังถือเป็นเรื่องใหม่มาก ๆ แล้วคอนโดที่เกิดขึ้นยุคนั้นแถวหาดจอมเทียนมันก็มีลักษณะเป็นคอนโดแบบเก่า หน้าตาคล้ายอพาร์ตเมนต์ในปัจจุบันมากกว่า เพราะความสูงไม่ได้มากขนาดนั้น อีกอย่างที่เริ่ม ๆ จะมีคือบ้านพักตากอากาศแล้วก็บังกะโล
ถ้าว่ากันด้วยมุมเชิงประวัติศาสตร์ จุดเริ่มต้นจริง ๆ ที่ทำให้พัทยากลายเป็นเมืองท่องเที่ยวคือช่วงของสงครามเวียดนาม ประมาณปี พ.ศ. 2502 ช่วงที่ทหารหรือกองทัพอเมริกาเข้ามาตั้งถิ่นฐานที่อู่ตะเภาและสัตหีบ แล้วในช่วงเวลาเดียวกันเขาก็ต้องการเวลาในการพักผ่อน เขาก็ขับรถมาเที่ยวกันแถวนี้ รวมถึงการผลัดเปลี่ยนทหารชุดเก่าและชุดใหม่ในระยะเวลานั้นจนถึงปี พ.ศ. 2518 ที่สงครามเวียดนามสิ้นสุดลง มันทำให้พัทยาเติบโตและเกิดกิจการเพื่อรองรับการท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากจนเกิดการขยายตัว มีนักลุงทุนเข้ามา มีคนท้องถิ่นหรือคนภายนอกเข้ามาหารายได้ เอาสินค้าเข้ามาขายด้วย แล้วก็เกิดการจ้างแรงงานเพิ่มเติม เศรษฐกิจมันเลยโตขึ้นมาก
ส่วนหนึ่งที่ทำให้พัทยารู้จักกันในหมู่คนไทย คือการที่นักหนังสือพิมพ์เข้ามาเที่ยวที่พัทยา แล้วเอาเนื้อหาไปเขียนว่าพัทยาสวยงามน่าเที่ยวยังไงบ้าง มันเลยทำให้คนกรุงเทพฯ หรือคนในประเทศไทยอยากมาเที่ยวพัทยาด้วย แล้วก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนรู้จักกันในประเทศ
ประกอบกับที่การเดินทางคมนาคมขนส่ง ถนนหนทางมันพัฒนาตามกันไป การมาที่นี่ก็สะดวกขึ้น ระยะทางจากกรุงเทพฯ มาพัทยาก็ไม่ได้ไกล พื้นที่แห่งนี้เลยกลายเป็นอีกหนึ่งแหล่งเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ เหมือนที่จะเห็นว่ารัฐบาลประกาศโดยกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2519 ว่าพัทยาเป็นพื้นที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งเป็นนโยบายที่ยังสนับสนุนจนถึงปัจจุบัน
ถ้ากลับมามองตอนนี้มันก็ไม่ได้มีแค่โรงแรม ที่พัก หรือสถานบันเทิงแล้ว มันมีห้างสรรพสินค้า ตลาดน้ำ พิพิธภัณฑ์ เมืองจำลอง สถานที่ส่งเสริมการกีฬา ร้านอาหารไทยและนานาชาติ หรืออะไรอีกหลายอย่างเพิ่มมากขึ้น เพราะเป็นวิธีในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจด้วย และเป็นโอกาสของผู้คนด้วย ซึ่งสุดท้ายมันคือความมุ่งเน้นเพื่อสร้างเม็ดเงินให้กับเมืองพัทยา
มันมีบทสัมภาษณ์หนึ่งของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับพัทยาบอกว่าจริง ๆ ตอนนี้เขาไม่ได้ต้องการทำให้พัทยาเป็นแค่เมืองท่องเที่ยวที่น่าเที่ยว แต่ต้องน่าอยู่ด้วย หมายความว่ายังไง หมายความว่าเขาไม่ได้ต้องการแค่ให้มาเที่ยวแล้วกลับ แต่อยากให้กลับมาที่นี่อีก กลับมาอยู่ในฐานะพลเมือง ไม่ใช่เป็นแค่นักท่องเที่ยว เพื่อมาประกอบอาชีพ ค้าขาย หรือลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เขาต้องการให้เป็นถึงขั้นนี้เลย


แล้วถ้าเมืองมันโตขึ้นไปเรื่อย ๆ แบบนี้ ความดั้งเดิมของวัฒนธรรมพัทยาอยู่ตรงไหนในสมการบ้าง
จริง ๆ ถ้าถามว่าทางหน่วยงานของพัทยามีการส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับชุมชนมั้ย มีค่ะ แต่เพียงแค่มันยังไม่แพร่หลายเพราะไม่ได้ถูกโปรโมตในวาระใหญ่ มันเลยเป็นลักษณะของการผลักดันกันเองในชุมชนมากกว่า ซึ่งมันก็ยังไม่มาถึงจุดที่เรียกว่า Mass ได้ เพราะช่องทางการเผยแพร่มันก็ยังค่อนข้างจำกัดเหมือนกัน
อย่างพัทยาเองก็มีหน่วยงานที่เรียกว่า ‘สภาวัฒนธรรม’ ซึ่งเป็นองค์กรที่ช่วยขับเคลื่อนวัฒนธรรมชุมชน แต่พอเราลองมาดูวิธีการประชาสัมพันธ์ของเขาบน Facebook เราจะเห็นว่ามันค่อนข้างไม่ทันสมัย เป็นวิธีการที่ไม่น่าดึงดูดมากเท่าไหร่นักหากมองผ่านเราในฐานะคนดู ยิ่งถ้าอยากให้คนรุ่นใหม่เข้ามาสนับสนุนวัฒนธรรมยุคนี้น่าจะเป็นไปได้ยาก
มีเรื่องหนึ่งที่อยากให้แง่มุมวิธีคิดทางประวัติศาสตร์เลย หากเรามาลองมองดูจริง ๆ เวลาเราเห็นข้อมูลอธิบายประวัติศาสตร์ของพัทยา เราจะไม่เห็นการนำเสนอลักษณะที่เป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่นพัทยาเลย เนื่องจากว่าข้อมูลที่มีอยู่ตอนนี้มันกำลังเชื่อมโยงอยู่กับประวัติศาสตร์ชาติไทย ซึ่งไม่ใช่เป็นแค่ที่พัทยา และลักษณะการอธิบายประวัติศาสตร์ด้วยแนวคิดแบบนี้มันมีทั่วประเทศไทย พอมันเอาไปผูกโยงกับความเป็นชาติ มันเลยไม่เห็นตัวตนของความเป็นประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเลย
สมมติถ้าเราลองถามว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงไม่ค่อยรู้จักความเป็นประวัติศาสตร์ของพัทยาเลย เออ พี่ก็ยังนึกไม่ออกเลยว่าถ้าเราจะอธิบายพัทยาในเชิงวิชาการ จะเล่ายังไงได้บ้าง เพราะอย่างมากที่สุดเราก็เล่าได้ว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของชลบุรี แต่เรายังหาไม่เจออย่างแท้จริงเลยว่าหน้าตาของ ‘ประวัติศาสตร์พัทยา’ คืออะไร เพราะมันไปผูกโยงกับประวัติศาสตร์อย่างที่บอก
อย่างเช่นวิธีการอธิบายที่มาของพัทยา ถ้าในมุมมองของนักประวัติศาสตร์นะ เราว่ามันเชยมากเลย เพราะมันเป็นการอธิบายที่ไม่ค่อย Make Sense สำหรับเรา ปกติเวลาเขาจะนำเสนอประวัติศาสตร์พัทยา มันจะไปผูกโยงกับวีรกรรมของพระเจ้าตากสิน ซึ่งมันทำให้ดูเหมือนว่าพัทยาคือส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่มันอาจจะไม่ได้เกี่ยวเลยก็ได้ แต่พอเราใช้วิธีการนำเสนอประวัติศาสตร์ผ่านการคัดเลือกจากพงศาวดารที่มีความเป็นทางการ เป็นส่วนกลาง และทำให้วิธีการนำเสนอมันวน ๆ อยู่ไม่กี่รูปแบบเนื้อหา
อันที่เด่น ๆ เลยคือที่เล่าถึงช่วงเวลาที่พระเจ้าตากสินตีฝ่าวงล้อมพม่าไปจันทบุรี แล้วก็พักค้างคืนที่พัทยา 1 คืน ซึ่งจริง ๆ มันสามารถนำเสนอในรูปแบบอื่นอีกได้ แต่ว่ามันถูกนิยามแบบนี้มาโดยตลอด หรือแม้แต่ที่มาของชื่อ ‘ทัพพระยา’ ที่ถูกใช้อธิบายบ่อย ๆ ก็ชี้ให้เห็นเลยว่าพัทยาก็ไปผูกโยงกับประวัติศาสตร์ของการเรียกร้องเอกราช ซึ่งพัทยามีส่วนหรือเปล่าไม่รู้เลยนะ กับประเด็นที่สองคือ ‘พัทธยา’ ที่หมายถึงชื่อลมที่พัดมาหาสถานที่ตั้งทัพของพระเจ้าตากสิน ซึ่งเป็นทำเลที่ดี มันก็เป็นวิธีการบอกเล่าที่เอาไปผูกโยงกับพระเจ้าตากสินอีกแล้ว

พอประวัติศาสตร์มันถูกเล่าแบบนี้ เราก็ต้องอย่าลืมนะว่าพัทยามันไม่ได้ประกอบสร้างด้วยคน ๆ เดียว แต่ประกอบสร้างด้วยคนหลาย ๆ ส่วน ซึ่งเรายังหาตรงนี้ไม่เจอ มันเลยยากมากที่เราจะไปขุดวัฒนธรรมพื้นถิ่นอื่น ๆ ซึ่งจริง ๆ มันอาจจะมีอัตลักษณ์ก็ได้นะ
ซึ่งพอแนวคิดนี้มันแข็งแรงมาก ทำให้เวลาหน่วยงานที่เขาดูแลเรื่องนี้ในพัทยาจัดงานภายในพื้นที่ เขาก็จะหยิบแก่นบางแก่นที่ไม่เกี่ยวกับความเป็นพื้นที่มาจัด จนทำให้การโปรโมตดูไม่นำเสนอความเป็นพื้นที่มากเท่าไหร่
ถ้าหากผู้คนที่ดูแลเรื่องนี้อยู่เขาอยากทำให้หน้าตาของพัทยาชัดเจนจริง ๆ รูปแบบการรวบรวมข้อมูลก็อาจจะไม่ได้ยากขนาดนี้ แค่ลงไปคุยกับคนในพื้นที่ เอาเรื่องมารวมกันก็ยังทำได้เลย เราเชื่อเลยว่าเขาและผู้คนจะได้เห็นมุมอะไรที่อาจจะยังไม่เคยเห็นด้วย โดยเฉพาะมุมมองเล็ก ๆ จากคนในท้องถิ่น คนบางคนที่ความทรงจำของเขายังทำงานอยู่ เรื่องเล่าปากต่อปากของเขาอาจทำให้เราเห็นอะไรมากขึ้นก็ได้
การศึกษาประวัติศาสตร์ท้องถิ่นมันต้องไม่กลัวว่ามันจะไปขัดแย้งกับประวัติศาสตร์ที่มีอยู่ แต่มันต้องกล้าเข้าไปในพื้นที่ที่ยังไม่เคยถูกเล่าในเอกสารทางวิชาการ หรือหนังสือเรียน แต่เป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง ๆ เพื่อให้หน้าตาของประวัติศาสตร์มันสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น ซึ่งแม้จะเป็นวิธีการที่เชยและช้า แต่มันก็น่าจะดีกว่าการวนเล่าอยู่กับข้อมูลชุดเดิม
หรือแม้แต่การเข้าไปสำรวจเอกสารในท้องถิ่นให้มากขึ้นเพื่อตรวจสอบข้อมูล อย่างหนังสืองานศพ หรือหนังสือพิมพ์เก่า หรือหนังสืองานประจำปี วารสารและเอกสารในท้องถิ่นทั้งหลาย ข้อมูลเหล่านี้มันมีให้เราตามแกะรอยมากมายเต็มไปหมด ซึ่งเราว่าน่าจะทำให้มุมมองของประวัติศาสตร์พัทยามันกว้างกว่าการอ้างอิงชุดข้อมูลของชื่อ ‘ทัพพระยา’ และ ‘พัทธยา’ มากขึ้นกว่าเดิมเลย

คิดว่านอกจากเรื่องเหล่านี้แล้ว มีมุมไหนอีกบ้างที่ ‘พัทยา’ กำลังถูกความเป็นส่วนกลางควบคุมอยู่ให้การประกอบสร้างตัวตนนั้นเป็นไปได้ยาก
อันนี้เราเดายากมาก เราคาดว่าน่าจะเป็นเรื่องข้อจำกัดของงบประมาณ มันก็เลยมีส่วนทำให้ต้องอยู่ในกรอบของการโปรโมตหรือเปล่า ว่ามันต้องคิดอยู่บนแนวทางนี้ คอนเซปต์นี้หรือเปล่า ซึ่งมันเป็นคอนเซปต์ที่ส่วนกลางเป็นคนมอบหมายแนวคิดให้
ถ้ามองกันจริง ๆ พัทยาก็เป็นพื้นที่ที่พึ่งพางบประมาณ การที่เขาจะได้มาซึ่งเม็ดเงินมาพัฒนาชุมชน เขาก็ต้องหาวิธีการในการเอางบมาใช้ เพื่อบอกไปยังภาครัฐอีกทีว่าจะเอาเงินเหล่านั้นมาทำอะไร และทำในรูปแบบไหน แล้วก็ทำให้รูปแบบการขับเคลื่อนพื้นที่ในพัทยาผ่านหน่วยงานส่วนกลางเป็นแบบนี้เกือบจะทุกด้านอย่างปฏิเสธไม่ได้ มันยากมากที่จะทำได้อย่างที่ใจอยากทำจริง ๆ
แม้แต่สื่อในพัทยาเอง หนังสือพิมพ์ท้องถิ่น ช่องเคเบิ้ลทีวีท้องถิ่น อย่างในศรีราชาหรือบางแสนเองก็นำเสนอเนื้อหาเพื่อโปรโมตพื้นที่ก็ไปในทิศทางเดียวกัน ไม่มีอันไหนที่มันฉีกกรอบออกไปเลย

ในฐานะคนประวัติศาสตร์ คิดว่าเราสามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้บ้างเพื่อให้หน้าตาของวัฒนธรรมท้องถิ่นของพัทยามีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น
เอาอย่างแรกก่อน ต้องกล้าเปิดพื้นที่ให้ประชาชนค่ะ เพื่อให้เขาได้มีจุดในการนำเสนอตัวเองได้แบบแท้จริงเลย ยิ่งคนรุ่นใหม่ตอนนี้จริง ๆ ดูถูกเขาไม่ได้นะ เด็ก ๆ หลายคนสนใจประเด็นเรื่องวัฒนธรรมกันเยอะขึ้น แต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการโปรโมตสิ่งนี้มักใช้วิธีการนำเสนอเนื้อหาที่ไม่น่าดึงดูดอย่างที่บอก ฉะนั้นคนรุ่นใหม่เขาก็ไม่ได้อยากจะเข้าไปสัมผัส แล้วเอาจริง ๆ ถ้าคนรุ่นใหม่เหล่านี้ได้เข้าไปพัฒนาเรื่องประวัติศาสตร์จริง ๆ เขาจะทำได้ดีกว่านี้มาก ๆ เลย
อย่างตอนนี้ที่หน้าตาเรื่องการท่องเที่ยวของพัทยาที่มันเป็นรูปธรรมมาก ๆ คือกลุ่มเป้าหมายคนต่างชาติ ผ่านการทำให้หน้าตาของพัทยาเหมือนหน้าตาของประเทศไทย เพราะเวลาเขาโปรโมตในการท่องเที่ยว สมมติอาหารในพื้นที่พัทยา เขาก็เสนอเป็นอาหาร 4 ภาค แทนที่จะเป็นอาหารท้องถิ่นที่หากินได้แค่ที่นี่ นี่คือคอนเซปต์ที่ผู้บริหารเมืองวางเอาไว้เลย
มันต่างจากหน้าตาของชลบุรีที่เป็นจังหวัด ที่ดูเหมือนเขาจะนำเสนอแง่มุมของความเป็นมนต์เสน่ห์ท้องถิ่น และทำให้เห็นว่าชลบุรีมันมีความเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีกลุ่มเป้าหมายน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัดเลย อาหารพื้นถิ่นที่ไม่เด่นที่พัทยา พอมาในส่วนอื่น ๆ ของชลบุรีก็มีเต็มไปหมด อยากกินเมนูนี้ต้องไปที่ร้านเจ๊คนนั้นคนนี้ เราตามกินยังไม่ครบเลย

กลายเป็นว่าตอนนี้ความเหลื่อมล้ำด้านเม็ดเงินของพัทยาและชลบุรีแตกต่างกันพอสมควร คิดว่าทำไมสองสิ่งนี้ถึงมีความตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิงในแง่การรับรู้ของผู้คนได้ขนาดนี้
เราก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกลุ่มการเมืองด้วยหรือเปล่าที่เป็นคนละกลุ่มกัน ทำให้เขาดูแลกันคนละแบบ ซึ่งถ้าพวกเขาเป็นกลุ่มเดียวกัน พัทยาและชลบุรีก็น่าจะไปในทิศทางเดียวกัน แต่ภาพของชลบุรีมาแต่ไหนแต่ไร กลุ่มคนนามสกุลคุณปลื้มเขาก็อยู่แต่ในตัวเมืองพัทยา ไม่ได้ย่างกรายไปในส่วนอื่นของชลบุรีสักเท่าไหร่ แม้แต่บ้านพี่ที่ศรีราชาเขาก็ดูอ่อนพลังลง
แต่ที่ผ่านมาหากมองในมุมประวัติศาสตร์ ชลบุรีไม่ได้ถูกโปรโมตในแง่การท่องเที่ยวเลยนะ แต่ถูกโปรโมตในภาพรวมมากกว่า ว่าชลบุรีคือพื้นที่ที่มีทั้งแหลมฉบัง พัทยา บางแสน แต่ในตัวเมืองไม่ได้ถูกโปรโมตเลย สมมติถ้าให้นึกถึงชลบุรีว่ามีอะไร สามชื่อนี้ก็จะผุดมาก่อนเลย ชื่ออื่น ๆ ในตัวเมืองก็จะไม่มีเลย
รวมไปถึงรายได้เฉลี่ยต่อหัวในแต่ละปีที่ไม่น้อยเลย แต่สุดท้ายรายได้ที่มันอยู่ในชลบุรีมันคือรายได้ตามเมืองท่องเที่ยวทางเศรษฐกิจ และรายได้ตามนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งก็กระจุกตัวรวมกันอยู่คนละที่เลย ทำให้สุดท้ายการกระจายรายได้ทั่วจังหวัดจริง ๆ ค่อนข้างต่ำ และเป็นพื้นที่ที่เกิดความเหลื่อมล้ำค่อนข้างสูง โดยเฉพาะคนจนเมืองในเมืองท่องเที่ยวทางเศรษฐกิจมีให้เห็นเหมือนกับในเมืองหลวงเลย


คิดว่าทำไมผู้คนส่วนใหญ่ถึงมองไม่เห็นแง่มุมความเป็นประวัติศาสตร์ หรือแง่มุมความเป็นท้องถิ่นของพัทยามากเท่าไหร่เลย
คงเป็นเพราะว่าเขาอิงไปทางเศรษฐกิจ แล้วคนก็ให้ความสำคัญกับด้านนี้เป็นหลักเลย เพราะมันมีทั้งการท่องเที่ยว แล้วก็อุตสาหกรรม เพราะฉะนั้นความก้าวหน้าทันสมัยของทั้งสองเรื่องนี้มันทำให้ภาพในหัวของคนถูกซื้อไปแล้วว่าพัทยาต้องพูดถึงแต่เรื่องนี้เท่านั้น ยังไม่นับการแข่งขันและการเติบโตในพื้นที่ที่ทำให้คนชนชั้นกลางที่เข้ามาทำธุรกิจในพื้นที่อาจจะไม่มีเวลาขยับสายตามามองเรื่องราวเชิงลึกได้มากเท่าไหร่เลย เพราะเขาไม่ได้แคร์เลยว่ามันจะเผยแพร่ไปได้มากน้อยแค่ไหน เขาสนใจแต่เรื่องของเม็ดเงิน เศรษฐกิจมากกว่า
แต่ผู้คนบางกลุ่มที่เขาจำเป็นต้องเอาแง่มุมทางวัฒนธรรมไปเชื่อมกับเศรษฐกิจ เขาก็จะมองว่ามันสำคัญอยู่ดีนะ เราว่ามีส่วนมากเลย แม้แต่คนทั่วไป หาเช้ากินค่ำ เขาก็ไม่ได้มาใส่ใจว่าเรื่องเหล่านี้จะไปได้ไกลมากแค่ไหนเหมือนกัน ดูเป็นเรื่องไกลตัวพอสมควร
ครั้นจะให้ผู้คนหันมามองเรื่องเหล่านี้ ก็อาจจะต้องเอาความเป็นทุนนิยมมาจับ ว่าแง่มุมทางวัฒนธรรมเหล่านี้อาจจะสร้างเม็ดเงินได้ด้วย แต่เรื่องราวทางวัฒนธรรมนั้นก็ต้องผูกโยงกับความเป็นองค์กรของเขาได้ด้วย ซึ่งต้องอาศัยการสำรวจต่อไปว่ามีแง่มุมไหนมั้ยที่เหมาะสมที่สุดในการส่งต่อผ่านการโปรโมตเพื่อสร้างเม็ดเงิน หรือต้องนำไปใส่กับการท่องเที่ยวประเภทไหนเพื่อทำให้บริษัทหรือองค์กรนั้น ๆ มีภาพลักษณ์ที่ดีได้บ้าง อาจจะต้องคิดไปถึงตรงนั้น หาตรงกลางของเขาเพื่อทำให้แง่มุมวัฒนธรรมท้องถิ่นมันไปข้างหน้าได้หากมันจะต้องเป็นอย่างนั้น
คำถามสุดท้าย คิดยังไงกับคำว่า “ประวัติศาสตร์จะไม่ซ้ำ ประวัติศาสตร์จะต้องเปลี่ยน” บ้าง
อย่างปรัชญาประวัติศาสตร์เองก็มองว่ามีหลายแบบ คือถ้าเราเชื่อว่าประวัติศาสตร์คือความจริง 100% ก็จะมองว่าประวัติศาสตร์เกิดซ้ำได้เป็นวัฏจักร แต่ถ้าเราเชื่อว่าประวัติศาสตร์มันคือเรื่องเล่า มันก็คือการสร้างพล็อตเรื่องขึ้นมาหนึ่งเรื่องของนักประวัติศาสตร์ แต่ว่านักประวัติศาสตร์ไม่ได้สร้างมาจากการมโน แต่พวกเขาสร้างขึ้นมาจากหลักฐาน และหลักการที่มีข้อมูลรองรับ
ฉะนั้นสุดท้ายแล้วประวัติศาสตร์มันสามารถเปลี่ยนไปได้ อาจจะอยู่บนหลักคิดเดียวกัน แต่คนละแง่มุม ถ้าเราเชื่อว่าประวัติศาสตร์มันไม่ใช่ความจริงทั้งหมด แต่เป็นสิ่งที่นักประวัติศาสตร์สร้างขึ้นอย่างที่บอก เราก็จะมองว่าวิธีการอธิบายด้วยรูปแบบข้อมูลชุดใหม่ที่ใกล้ความจริงมากกว่าก็อาจจะทำให้ประวัติศาสตร์มีแง่มุมใหม่ และไม่ซ้ำอย่างที่เพลงของคุณคริสตินาว่าไว้ได้จริง ๆ
