ถ้ามีสูตรลับสำหรับการทำให้ซีรีส์เรื่องหนึ่งให้กลายเป็น “ความรู้สึก” มากกว่าแค่ “เรื่องเล่า” สูตรนั้นคงประกอบด้วยนักแสดงที่เข้าถึงบทบาทจนกลายเป็นตัวละคร บทที่ไม่ได้ตั้งใจแค่ทำให้คนดูรักแต่ทำให้คนดูเข้าใจ และเคมีบางอย่างที่อธิบายไม่ได้ระหว่างสองคนบนจอ… ‘จอส-กวิน’ คือส่วนผสมที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ครบพอดี ไม่มีเกิน ไม่มีขาด
เราได้ชวนทั้ง ‘จอส-กวิน’ มานั่งคุยกันในวันที่โปรเจกต์ “My Golden Blood เลือดนายลมหายใจฉัน” เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2023 และกำลังจะเดินทางมาถึงสามตอนสุดท้าย ในซีรีส์พวกเขาไม่ได้แค่แสดงบทบาทของแวมไพร์และมนุษย์ที่รักกัน แต่ยังเปิดพื้นที่ให้เราได้เห็นคำถามคลาสสิกที่ยังไม่มีคำตอบที่ตายตัวว่า “ในโลกที่เต็มไปด้วยขอบเขต เรายังกล้าจะรักใครสักคนอยู่ไหม?” ข้างในรอยยิ้มมีความตั้งใจ ข้างในฉากบู๊มีการฝึกซ้อมที่นับไม่ถ้วน และข้างในความสัมพันธ์ของทั้งคู่…มีการเรียนรู้ เติบโต และยอมรับในจังหวะที่แตกต่างกันอย่างน่ารัก
บางความสัมพันธ์ไม่ต้องมีคำอธิบายก็เข้าใจ เหมือนที่เราเข้าใจว่า ทำไมตองถึงเลือกที่จะอยู่ และทำไมมาร์คถึงเลือกจะรู้สึกอีกครั้ง
จอสทำการบ้านเกี่ยวกับบทบาทของแวมไพร์ยังไง
จอส : เราดูหนังแวมไพร์เยอะอยู่แล้ว ก็ไปดูตัว character ที่เราชอบแล้วก็ดูว่าตรงไหนบ้างที่เราสามารถนำมาใช้ได้
สำหรับมาร์ค จำเป็นที่สุดอย่างแรก คือเรื่องของวุฒิภาวะหรือความนิ่ง ตัวละครของมาร์คมีอายุประมาณ 100 ปี ซึ่งผมเพิ่งอายุ 29 เป็นอะไรที่ค่อนข้างท้าทายที่สุด และตัวเราเองก็เป็นคนที่ค่อนข้างที่จะตอบสนองอะไรไว จึงเป็นอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเรียนรู้ว่าเราต้อง slow ทุกอย่าง ยังมีในเรื่องของการตัดสินใจ การใช้สายตาให้มากขึ้น
ผมมักทำตัวเป็นน้ำครึ่งแก้ว ในเวลาที่ผู้กำกับหรือโปรดิวเซอร์เขาแนะนำอะไรมา เราก็ต้องไปในทางนั้นให้ได้ ในตอนแรกเราอาจจะมีภาพในหัวว่า เราอยากให้ character เราเป็นประมาณนี้นะ แต่พอไปอ่านบทแล้วก็มีอะไรหลาย ๆ อย่างที่ต้องเปลี่ยน ก็ต้องคุยกับผู้กำกับครับ

เรื่องที่สองเป็นเรื่องของการเปิดเซนส์ ถ้าเราคิดถึงเรื่องของแวมไพร์ จะมีความกระหายเลือด เรื่องความหิว ผมเคยไปลองฟาสติ้งหลาย ๆ วัน แล้วก็ดูด้วยว่าเราหิวมาก ๆ แล้วเรารู้สึกที่อยากจะกินยังไง ที่บอกว่าควบคุมตัวเองไม่ได้ ผมทำหลายวันมากประมาณ 7 วัน เป็น water fasting (อดอาหารด้วยการดื่มเพียงแค่น้ำเปล่า)
ตอนที่เราหิวจะมีช่วงที่เรารู้สึกว่าเราตื้อไปหมด เราทำอะไรไม่ถูก แต่ก็สักพักก็จะชิน ช่วงตอนที่จะต้องเบรก Fast ต้องกินอาหารมื้อแรก เราก็มองอาหาร รู้ว่าความรู้สึกของความที่เราอยากจะกิน หรือความรู้สึกซื้ออาหารที่อยากกินมาก ๆ มา พอได้กินจะรู้สึกยังไง ต้องทำความเข้าใจว่าเวลาเราอยากทำอะไรมาก ๆ เราอยากกินอะไรมาก ๆ เรามีอารมณ์อะไรมาก ๆ แล้วพอมีโอกาสได้กิน ชิมเลือดสีทองแล้วทำให้เขากลับมาเป็นมนุษย์อีกครั้งหนึ่ง ทำให้รู้ว่า อ๋อ!!! ความรู้สึกมันเป็นประมาณนี้ ซึ่งอันนี้สำคัญมาก ๆ ของตัวมาร์ค เพราะว่ามันเป็นเรื่องของ character development (การพัฒนาของตัวละคร) จริง ๆ แล้วมาร์คเขาไม่ได้อยากเป็นแวมไพร์ ถึงเขาจะมีชีวิตต่อไปได้ก็จริง แต่ก็เป็นชีวิตที่ไม่รู้สึกอะไรเลย มันก็ไม่มีความหมาย


ผมเชื่อว่าถ้าเราย้อนกลับไปดูในชีวิตเรา เราจะจำไม่ค่อยได้ว่าตอนที่เรามีความสุขมาก ๆ คือตอนไหน แต่ที่เราจะจำได้มากที่สุด คือเวลาเวลาที่เราเจ็บปวด หรือว่าเรามี emotional อย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น ผมเลยรู้สึกว่ามาร์คเขาจะจำอะไรไม่ค่อยได้ เพราะว่าไม่มีอะไรให้น่าจำ ทุกอย่างมันก็คือเฉย ๆ ไปหมด ในความทรงจำเขาก็จะเทา ๆ ไม่รู้สึกอะไร แต่พอเขาได้กลับมาเป็นมนุษย์แล้ว ทุกอย่างการได้กลิ่นครั้งแรก โดยเฉพาะกลิ่นของตอง กลิ่นอาหาร กลิ่นเลือด หรือว่าการสัมผัส ความอบอุ่น พอมีเซนส์มามันก็เกิด emotional ขึ้นมา แต่ต้องบอกไว้ก่อนเลยนะครับ water fasting ที่ผมทำไป 7 วัน ไม่ควรทำตามเลยนะครับ การทำ water fasting มีหลักของการทำอยู่ ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลและความพร้อมของร่างกาย ยังไงถ้าใครสนใจต้องศึกษาให้ดีนะครับ

กวินล่ะ เด็กมหาวิทยาลัยที่มีความพิเศษ ได้เตรียมตัวอะไรบ้างคะสำหรับบทบาทของตอง?
กวิน : สำหรับ character ของตองอาจจะไม่ต้องไปดูเรื่องความแฟนตาซีอะไร เพราะว่าตองเขาเป็นมนุษย์ แต่ว่าที่ยาก ๆ ก็คือการเป็นเด็กที่ยังไม่ได้เห็นโลก ยังมีความ innocent อยู่
ความท้าทายในบทของตองสำหรับผมจะเป็นในเรื่องของช่วงอายุ ผมอายุ 27 แต่ตองอยู่ประมาณ 20 ความท้าทายที่ว่าคือผมต้องเล่นให้มีความเป็นเด็ก และมีความ emotional พอสมควร ยังมีในเรื่องของอารมณ์เรื่องความสูญเสีย ความเศร้า การคิดถึงใครสักคน การอกหัก ผมว่าตองค่อนข้างจะเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่ทุกคนจะสามารถสัมผัสเขาได้อยู่แล้ว แค่ว่าผมต้องไปต้องไปดิ่ง deep ลงไปนิดหนึ่ง ก็จะมีไปหาหนังดูหรืออ่านหนังสือครับ

ผมจะมีหนังพวกที่ค่อนข้าง deep อยู่เยอะ พอเราดูไปในหัวเรามีเรื่องราวอยู่แล้ว เราก็เอาความรู้สึกตรงนั้นไปใช้ในซีนได้อย่างพวกการร้องไห้ ลองค้น ๆ หา ๆ ไปเรื่อย ๆ เราก็รู้สึกว่าเราจับทางพวกนั้นได้ ก็เริ่มสนุกที่จะเรียนรู้ครับ
ซีนประทับใจของแต่ละคน ชอบซีนไหนที่สุด?
จอส : ของผมคงเป็นซีนบู๊ครับ เราบู๊เยอะพอสมควร แล้วก็เราก็เป็นคนที่ชอบใช้ร่างกายอยู่แล้ว เป็นคนลุย ๆ ก็เลยรู้สึกว่าเออ!!! บู๊สนุกดี แล้วก็เหมือนกัน ก็คือซีนช่วงหลัง ๆ มีทั้งทะเลาะกับเขา แล้วก็มีทะเลาะกับพี่อุ๋ม เริ่มมีความขัดแย้งกัน กับม่อนก็สนุก เพราะเราเป็นเหมือนผู้พิทักษ์ เป็นมือขวาของพี่อุ๋ม แล้วม่อนเขาจะเป็นคนคอยกวน ๆ มาสร้างเรื่องวุ่นวาย รวมถึงตัวเขาเองก็อยากได้ Golden Blood ด้วย แต่ถ้าถามว่าประทับใจที่สุดเลยคงเป็นช่วงท้าย ๆ ซีนนี้ก็เดี๋ยวรอดู ก็เหมือนเป็นซีนที่เหมือนเราจะต้องลากัน เราจะต้องลาทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้อยากจาก เราอยากจะอยู่ด้วยกัน เป็นซีนอารมณ์ที่รักกัน
กวิน : ผมนึกถึง scenary ความสวยของภาพ ผมชอบซีนที่ไปเที่ยวทะเลด้วยกันครับ ซีนเจ็ตสกีแล้วก็ดูพระอาทิตย์ตก เป็นซีนที่ผมประทับใจที่สุดในเรื่องของภาพ แต่ถ้าทางดราม่าก็เป็นซีนตอนท้าย ๆ แต่ว่า…….อาจจะยังไม่พูดละกัน (ยิ้ม) แล้วก็มีอีกซีนหนึ่งที่ตองกับมาร์คทะเลาะกัน แล้วตะโกนใส่กัน ผมรู้สึกว่าเล่นซีนนี้แล้วมันส์ครับ
จอส : ในเรื่องแทบไม่ได้ทะเลาะกันเลย อาจจะมีแบบงอน ๆ บ้าง แต่ก็มีนิด ๆ หน่อย ๆ ก็รุนแรงพอสมควร
กวิน : พอมีก็ใส่สุดไปเลย
จอส : วันนั้นก็สนุกอยู่ครับ
จอส – กวิน คิดยังไงกับความรักระหว่างแวมไพร์กับมนุษย์
จอส : ในมุมมองของผมนะครับ ถ้าเป็นชีวิตจริงมันน่าจะเจ็บปวดพอสมควร ถ้าผมเป็นแวมไพร์ ผมรักมนุษย์ มันจะมี 2 option ก็คือ 1. คอยปกป้องเขา อยู่กับเขา จนวันที่เขาแก่แล้วก็ตายไป ได้ใช้ชีวิตอยู่ในระดับหนึ่ง แต่ว่ามันก็ต้องลากัน ก็ใช้ช่วงเวลานั้นให้มันคุ้มที่สุด กับ 2. หรือเราจะเปลี่ยนเขาให้เป็นแวมไพร์ทำได้หรือเปล่า ถ้าทำได้มันจะดีไหม เพราะว่าเหมือนในตัวของมาร์คเอง หรือตัวผมเองที่พอได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสความรู้สึกของมาร์คแล้ว เราก็รู้สึกว่าการเป็นแวมไพร์ การมีชีวิตอยู่ตลอด แล้วไม่มีอารมณ์ ไม่มีความรู้สึก มันเหมือนเป็นคำสาปมากกว่าอีก เพราะว่าเราไม่รู้สึกอะไร เราจำอะไรไม่ได้ คนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเดี๋ยวเขาผ่านมา เดี๋ยวเขาก็ผ่านไป ผมเลยไม่รู้ว่าถ้าเป็นผม ผมจะตัดสินใจยังไง ก็อาจจะเปลี่ยนเขาให้เป็นแวมไพร์ แล้วก็ใช้ชีวิตไปด้วยกันเลยดีไหม
อันนี้ก็พูดยากเหมือนกัน เพราะว่าเราอยู่ในข้อจำกัดที่ว่า ถ้าเขาเปลี่ยนเป็นแวมไพร์ ความรู้สึกความเป็นมนุษย์ก็จะหายไป ผมเชื่อว่าที่เรารักเขาก็เพราะว่าความเป็นมนุษย์ของเขานี่แหละ เราอิจฉาเขาซะด้วยซ้ำไปที่เขาเป็นมนุษย์ เขาสามารถมีความรู้สึกอะไรได้หลาย ๆ อย่างครับ


กวิน : ผมว่ามันเป็นอะไรค่อนข้างที่จะมันดูโรแมนซ์แบบ contrast เหมือน Romeo and Juliet รู้สึกว่าไม่มีความเป็นไปได้ ไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่สุดท้ายมันก็จะเกิดขึ้น เพราะว่าสุดท้ายแล้ว…ความรักก็จะชนะทุกอย่าง
นิยามความรักของมาร์คกับตอง
จอส : สำหรับมาร์คผมคิดว่าคือการได้ใช้ชีวิตอยู่กับคนที่เรารัก ไม่ว่าจะเป็นทุกข์หรือสุข คือการได้มีประสบการณ์ร่วมกันกับเขา การที่ได้อยู่กับเขา การที่ได้มีเขาอยู่ข้าง ๆ แล้วเราผ่านอะไรไปด้วยกัน มองดูเขาเติบโตโดยที่มีเราคอยดูแล แล้วก็ปกป้อง ผมว่านั่นคือความรักของมาร์ค
กวิน : ผมว่าหลัก ๆ ของตอง คือการอยู่ด้วยกัน แต่ว่าอาจจะเป็นการอยู่ด้วยกันโดยไม่มีขอบเขต ไม่มีอะไรมาห้าม ไม่มีอะไรมากั้นสองคนไว้ เพราะว่าในซีรีส์จะมีสิ่งที่มาตีกรอบตอง หรือเข้ามากั้นระหว่างเราคนเสมอ เพราะฉะนั้นผมว่า…ความรักคือการทำลายกำแพงที่กั้นอยู่ออก แล้วมาอยู่ร่วมกันครับ

What We’d Like to Say to Each Other
จอส : เรื่องนี้เราถ่ายไม่นานประมาณ 3-4 เดือน แต่โปรเจกต์นี้เริ่มตั้งแต่ 2023 เรามีเวลาทำความรู้จักกันอยู่เกือบ 2 ปี
กวิน : ผมว่าอาจจะเป็นข้อดีก็ได้ที่ต้องรอนานขนาดนั้น เพราะว่าในการรอเราก็ได้มาเจอกัน เราสร้างเคมีด้วยกัน ทำกิจกรรมด้วยกัน ใช้ชีวิตด้วยกัน จนสุดท้ายแล้วพอมาอยู่ในซีน ผมรู้สึกว่าเราเกิดความไว้ใจกันแล้ว สนิทกันพอแล้ว ผมรู้สึกว่ามันคุยกันได้ง่าย ๆ แล้วเราก็มีความเชื่อใจเขาด้วย
จอส : สำหรับผมรู้สึกว่า gap เวลาที่เกิดขึ้นคือความโชคดีครับ เพราะมันทำให้เราเรียนรู้กันมากขึ้น เราสองคนชอบเล่นบาสเหมือนกัน เลยได้กีฬาบาสเป็นตัว connect ระหว่างกันด้วย เราออกกำลังกายด้วยกัน คุยเรื่อง NBA ผมเป็นคนชอบพูดภาษาอังกฤษ แล้วมีเขาคอยพูดกับผม เราพาเขาไปรู้จักคนรอบ ๆ ตัวเรา พอเรามีเขาอยู่ข้าง ๆ ตัวเรา มันดูอะไรก็ง่ายไปหมดเลย แต่เขาจะเป็นค่อนข้างมีพื้นที่ส่วนตัวสูง เวลาหายไปก็จะหายไปเลย เราก็ต้อง text ไปล่อ “เล่นบาสกันมั้ย” อะไรแบบนี้ แล้วเขาก็จะออกมา เราก็เข้าใจแหละว่าเขาโลกส่วนตัวสูง แต่พอผมมีช่วงเวลาที่ว่าง ผมก็อยากจะเจอเขาทุกวัน

กวิน : เขาเป็นคนตั้งใจทำงาน ผมเลยรู้สึกว่าเราทั้งคู่พร้อมที่จะลุยไปกับงาน พอเราเห็นอะไรที่เหมือน ๆ กัน ทุกอย่างเลยง่ายไปด้วย เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากระแสจะเป็นยังไง หรือเรามาเล่นด้วยกัน มันจะเป็นยังไง แต่ว่าสุดท้ายก็ Let it be แล้วกัน
จอส : สิ่งที่ไออยากบอกยู ก็คือ You’re in my circle now. You’re my friend. We have a lot in common, I think. ถึงไม่มีซีรีส์ เราก็คงเป็นเพื่อนกันต่อ แล้วเราก็คงได้ hang out กันต่อ หรือสมมติว่าอาจจะต้องมีการเปลี่ยนคู่ อย่างโน้น อย่างนี้ แต่ผมว่า At the end of the day. เขาอยู่ในชีวิตผมนะ You are not going anywhere bro. You ain’t going nowhere. แน่นอน
กวิน : You stuck with me.
จอส : Yeah, you stuck with me, get used to it. เราเชื่อว่า เราจะได้เจออะไรด้วยกันอีกเยอะ แล้ว I’m excited for that well. คงได้ไปเที่ยว อีกอย่างอย่างที่บอกนะครับ ผมเข้าใจว่าซีรีส์ที่พวกเราเล่นด้วยกัน ทำให้เรามีโอกาสได้เจออะไรอีกหลาย ๆ อย่าง มีแฟนคลับที่เขาอยากเจอเราทั้งในประเทศไทย ทั้งต่างประเทศ ผมก็รู้สึกว่า ถ้าเรามีโอกาสได้ไปเจอพวกเขา ได้มีโอกาสไปต่างประเทศด้วยกัน น่าจะเป็นอะไรที่สนุกมาก ๆ แล้วก็ I’m looking forword to that bro.


Three words that define me
กวิน : calm cool ผมค่อนข้างจะชิล รักสงบนิดหนึ่ง ไม่ได้เป็นคนที่พลังงานพุ่ง ๆ เป็นคนที่ reserve energy
จอส : chill guy

กวิน : คำที่สอง คือ Old school นิดหนึ่งในเรื่องของสิ่งที่ชอบ เช่นหนัง เพลง แฟชั่น เสื้อผ้า นักแสดง หรืออะไรต่าง ๆ ผมชอบย้อนไปดูอะไรเก่า ๆ สามคือ Musical found แล้วกัน อาจจะชอบฟังดนตรีมาก ๆ วัน ๆ ผมก็อยู่กับดนตรีเกือบทั้งวัน มีหูฟัง มีลำโพงที่บ้าน ใช้ชีวิตกับดนตรี วันหนึ่งก็เกินครึ่งครับ ชอบเล่นดนตรีด้วย โดยเฉพาะช่วงนี้ก็ชอบเล่นกีตาร์ แล้วก็ฝึกเล่นเปียโนอยู่ เล่นเบส เดี๋ยวจะซื้อกลองชุดมาเล่น
จอส : ผมกับกวิน คือหยินกับหยางเลยครับ (หัวเราะ) I think that’s why we are so perfect for each other. ข้อแรกเขาชิล ส่วนผมเป็นคนจริงจังมาก จริงจังซีเรียสแบบต้องรู้สึกว่าอะไรที่ได้ทำแล้วต้องทำให้เต็มที่ที่สุด ซึ่งก็มีทั้งข้อดีแล้วก็ข้อเสีย หมายถึงว่าบางทีก็จริงจังเกิน
ข้อสอง เขา Old school ผม New school ครับ (หัวเราะ) อะไรใหม่ ๆ อะไรเกี่ยวกับ research ผมเป็นคนที่ค่อนข้างที่จะ Science mind ผมใช้ชีวิตเหมือนนักกีฬา มีรูทีน เรื่องอาหารการกิน เรื่องการพักผ่อน เรื่องอาหารเสริมเป็นคนที่แบบจัดเต็มมากเรื่องนี้ เรื่องสุขภาพต้องมาก่อนครับ Look good, feel good. สุดท้ายก็เขามีความ Music ผมก็จะเป็นแบบ Add League ก็คือเป็นนักกีฬา แล้วก็จะเข้าหาทุกอย่างเหมือนเราเป็นนักกีฬา ต่างกันหมดเลย แต่เราก็ไม่เคยทะเลาะกันนะ จะมีก็ผมแอบน้อยใจบ้างเล็กน้อย ซึ่งเขาก็ชิลไปของเขา ไม่ได้ผิดอะไร

SUM UP : เรารู้ตัวไหมว่าเขาน้อยใจ (หันไปถามกวิน)
กวิน : บางทีก็รู้บ้าง
จอส : แต่ผมก็เก็บไง เพราะว่าเรารู้สึกว่าเรื่องมันเรื่องเล็ก แต่บางทีเราก็เก็บอาการไม่เก่ง
Thank You for Becoming Me
กวิน : รู้สึกขอบคุณเราตอนเด็กที่มีความอดทนพยายามมากถึงตอนนี้ รู้สึกภูมิใจว่าเราโตมาได้ถึงทุกวันนี้ รอดมาได้ ผ่านอะไรมาได้ เป็นเราในวันนี้ครับ
จอส : อยากบอกตัวเองว่า ขอบคุณที่ไม่ยอมแพ้กับทุก ๆ เรื่อง มีหลายเรื่องมากที่ ๆ เกิดขึ้นกับผมแล้วทำให้รู้สึกไม่มีความมั่นใจในตัวเอง จริง ๆ ตัวผมเองเป็นคนที่โตมาแบบไม่ได้มีความมั่นใจในตัวเองสักเท่าไร โดยเฉพาะช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาในวงการ เราจะมีคำถาม จะมีอะไรหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นกับตัวเราที่ทำให้เราถามตัวเองว่า “เราอยู่ตรงนี้ เราควรจะอยู่ตรงนี้จริง ๆ เหรอ เราทำได้เหรอ?”
อยากขอบคุณตัวเอง แล้วก็ต้องขอบคุณทุกคนเลยครับ เริ่มจากพ่อกับแม่ก่อนเลยที่เชื่อในตัวผม เชื่อในการตัดสินใจของผม เริ่มจากที่เราได้มีโอกาสไปเรียนโรงเรียนอินเตอร์ เขาก็ support เรา เราจะออกจากโรงเรียนอินเตอร์มาเรียน home school เขาก็ support เรา ซึ่งในตอนนั้นสำหรับพ่อแม่ ผมว่ามันเป็นเรื่องการตัดสินใจที่ค่อนข้างใหญ่มาก แต่เขาก็เชื่อใจเราว่าเราทำได้ แล้วเราก็เข้ามหา’ลัย ได้
พอได้มีโอกาสเข้ามาทำงานในวงการก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเริ่มมาจากเป็นนายแบบ ไปเป็นพิธีกร ไปเป็นนักแสดง เราไม่ได้มั่นใจต่อหน้ากล้องเลย เราไม่ได้คิดว่าเราเป็นคนเก่ง พูดเก่ง หรือว่าเราเป็นโมเดล แต่ก็มีคนที่เชื่อในตัวเรานะ แล้วบอก “เฮ้ย!!! ยูทำได้นะ” แล้วเราก็เชื่อเขา แล้วเราก็ลุยกับมัน ต้องขอบคุณทุกคนที่เชื่อในตัวผม ทำให้ผมมีความมั่นใจ ขอบคุณตัวเองที่สู้มาจนถึงทุกวันนี้ครับ

The quiet happiness I found today
กวิน : ผมรู้สึกว่าความสุขของผมตอนนี้ คือการที่เราเคลียร์หัวเราได้ การที่มี Empty mind แล้วเราสามารถที่จะนั่งอยู่นิ่ง ๆ สมมตินั่งอยู่ในสวนสาธารณะ นั่งได้โดยไม่ต้องคิดเรื่องอะไร ไม่ต้องดูโทรศัพท์ หรือไม่ต้องทำอะไร แค่นั่งนิ่ง ๆ แล้วมอง อาจจะมองต้นไม้แล้วรู้สึก enjoy กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เห็นต้นไม้แล้วนั่งยิ้มเหมือนแมวที่มาอยู่หน้าประตูแล้วมองนกได้ทั้งวัน เราอาจจะไม่ได้ทำอย่างนั้นได้ตลอด แต่พอเราอยากทำ เราทำได้
จอส : ผมเห็นด้วยนะครับ Mindfulness หรือว่าการอยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าแล้ว enjoy กับมัน มีความสุขกับมัน กับเรื่องเล็ก ๆ การที่ผมเชื่อว่า เราจะรู้สึกกับสิ่งที่เราโฟกัส แล้วก็จริง ๆ ผมว่าทุกคนบนโลกนี้ก็มีเรื่องที่ไม่ดี แล้วก็มีเรื่องที่ดี อยู่ที่เราโฟกัสตรงไหน การที่เราจะเลือกที่จะโฟกัสกับสิ่งที่ดี ๆ กับเรา รู้จักขอบคุณเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิต อย่างเช่นตื่นมาเราก็ยังมีชีวิตอยู่นะ พ่อแม่เราก็ยังสุขภาพดีอยู่ เรายังมีเพื่อนที่รักเรา ถึงแม้อะไรจะไม่ได้ดั่งใจเราบ้าง ไม่เป็นไปตามแพลนบ้าง เราก็ยังสามารถมองให้มันเป็นบทเรียน เรื่องที่ไม่ดีก็มองไปบทเรียน เรื่องที่ดีเราก็รู้สึกรับมันไว้ แล้วก็ไม่ยึดติดกับมัน เพราะว่าความสุขเป็นอารมณ์หนึ่งอารมณ์ที่มาแล้วก็ไป ถ้าเราไปยึดติดกับมัน ผมว่ามันจะไม่ดี


ผมเชื่อว่าไม่มีใครมีความสุขตลอดหรอก คนสองคนทำอะไรบางอย่างเหมือนกัน อาจจะมีความสุขไม่เหมือนกันก็ได้ ผมว่ามันขึ้นอยู่กับใจของเรา ว่าเราจะตั้งค่าให้มันเป็นยังไง ซึ่งการตั้งค่าเนี่ย มันก็แล้วแต่คนนะ ว่าเราอยากจะตั้งค่ายังไง ซึ่งมันอาจจะใช้เวลานานมากในการค่อย ๆ ปรับ อย่างที่เขาบอก ฝึกมองต้นไม้เหมือนแมวแล้วก็มองนก แล้วก็จอย ๆ นิ่ง ๆ This is nice. Peaceful นะผมว่า
When Life Gets Dark, What Do You Hold On To?
จอส : ก็ต้องเผชิญกับมันครับ อยู่กับมันไม่หนี ยอมเอาเรื่องแย่ ๆ มาบอกกับตัวเองว่า สักวันหนึ่งเราจะกลับมายิ้มกับมัน เราจะย้อนกลับมันดูตอนที่เราเจอเรื่องแย่ ๆ ในช่วงเวลานั้น แล้วเราสามารถผ่านมาได้ แล้วเราก็จะรู้ว่าเรา level up
ถ้าสมมติผมมีปัญหาใหญ่มาก ๆ เลย ผมจะเริ่มจากการถามคำถาม พยายามถามคำถามไปเรื่อย ๆ ครับ ซึ่งอันนี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันบางทีคำถามมันอาจจะไม่เหมือนกันของแต่ละคน ผมว่าถ้าจัดการกับตัวเองไม่ได้ ก็อย่างที่บอกก็คือแชร์กับเพื่อน ครอบครัว ฟ้าหลังฝนมันก็จะดีเอง
กวิน : ผมรู้สึกว่ามันต้องหาวิธี express มันออกมาให้ได้ ไม่ว่าแต่ละคนก็มีวิธีของตัวเอง สำหรับผมส่วนใหญ่ก็จะเล่นดนตรี นั่งเล่นดนตรีอยู่บ้านเป็นเพลงที่อารมณ์เรากำลังรู้สึกอยู่ตอนนั้น เราเล่นเพลงนั้นออกไปเหมือนปล่อยความรู้สึกเราไปได้ หรือไม่ก็คุยกับใครสักคน อะไรก็ได้ที่เราสามารถ express มันออกมาให้ได้ แล้วมันจะดีขึ้น…ผมว่า

Every little cheer, every quiet support. I felt it. Thank you.
จอส : ขอบคุณที่เชื่อในตัวผมนะครับ ขอบคุณที่ support เป็นกำลังใจให้ พวกคุณอาจจะไม่รู้ แต่ว่าในวันที่เราไม่มั่นใจในตัวเอง ในวันที่เรารู้สึกว่าเราอยากจะหยุดตรงนี้ เพราะเราไม่แน่ใจว่าเรา belong กับที่นี่หรือเปล่า หลาย ๆ คนก็ทำให้เรารู้สึกว่า เรายังเป็นพลังงานบวกให้กับพวกเขา ซึ่งสำหรับเรามันสำคัญมาก ๆ ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้มีโอกาสได้ออกมาพูดบ่อย ๆ ว่าเราขอบคุณคุณมากแค่ไหน แต่ผมเชื่อว่าผมมาอยู่ตรงนี้ได้ทุกวันนี้ก็เพราะทุก ๆ คนที่คอย support คอยรักเรา คอยเอ็นดูเรา อยากเห็นเราเติบโต แล้วก็รักเราในตัวตนของเราจริง ๆ
ผมรู้ว่าในอนาคตคำว่า Forever อาจจะไม่มีอยู่จริง เราอาจจะไม่ได้มีประสบการณ์อยู่ร่วมไปด้วยกันตลอด แต่ในระหว่างที่ผมยังอยู่ตรงนี้ก็อยากให้รู้ว่าเราเป็นพลังบวก เป็นพลังบวกซึ่งกันและกันนะ แล้วเราก็จะพัฒนาตัวเอง จะใช้ชีวิตให้มีความสุข จะคิดให้น้อยลง สำหรับคนที่คอยตามเราตั้งแต่เราเริ่มเข้าวงการมาก็ขอบคุณที่ยังอยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้ สำหรับแฟนคลับคนใหม่ ๆ ที่เพิ่งมีโอกาสตามเราก็รู้สึกว่าขอบคุณมาก ๆ แล้วก็อยากให้สนุกไปด้วยกัน เดินทางไปด้วยกันนะครับ แล้วก็ถ้าวันไหนที่ตัวเองรู้สึกว่าไม่มีกำลังใจ หรือว่าท้อแท้ ก็อยากให้คิดถึงกัน แล้วก็หวังว่าเราจะเป็นพลังงานบวกให้กับพวกคุณได้ต่อไป
กวิน : ขอบคุณนะครับที่คอย support เรามาตั้งแต่แรก ๆ เลย ก่อน Dark blue kiss ก็เป็น Kiss me again ที่เป็นเรื่องแรกของผมจริง ๆ แล้วก็อยากให้คอยติดตามผมไปเรื่อย ๆ คอยดูความเติบโตไปเรื่อย ๆ แล้วกันนะครับ ผมก็จำหน้าแฟนคลับได้เยอะเหมือนกันนะครับ แล้วก็ดีใจครับที่เห็นว่าเขาอยู่กับเรามาตั้งแต่ตอนแรก ๆ จนผ่านมากี่ปี ก็ยังเห็นหน้าเดิม ๆ อยู่ ก็ขอบคุณมากครับที่ติดตามมา แล้วก็สัญญาว่าจะพัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ สัญญาว่าจะดูแลตัวเองไปเรื่อย ๆ ให้ตัวเองอัปเกรดขึ้นไปเรื่อย ๆ ครับ ขอบคุณมากครับ.


My Golden Blood อาจเริ่มต้นจากพล็อตแวมไพร์กับมนุษย์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป เรากลับรู้สึกว่า สิ่งที่น่าจดจำไม่ใช่เลือด ไม่ใช่คำสาป ไม่ใช่พลังพิเศษ แต่เป็นการหันกลับไปแล้วเจอกันในวันที่เหนื่อย เป็นความเงียบที่คนสองคนเข้าใจกันได้โดยไม่ต้องพูด และเป็นการยอมอยู่ข้างกัน แม้จะไม่มีอะไรรับประกันว่ามันจะง่ายก็ตาม

ร่วมชม “My Golden Blood เลือดนายลมหายใจฉัน” ตอนสุดท้ายไปพร้อม ๆ กัน ในพุธที่ 28 พฤษภาคม 2568 เวลา 19.30 น. เป็นต้นไป ณ โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย Paragon Cineplex ชั้น 6 สยามพารากอน / ปักหมุดกดบัตร วันเสาร์ที่ 17 พฤษภาคม 2568 เริ่มเวลา 10.00 น. เป็นต้นไปที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา