รสนิยมสอนกันไม่ได้

“เธอแต่งตัวแบบนี้เหรอ ก็อย่างว่าแหละ รสนิยมมันสอนกันไม่ได้”

คำเสียดสีเอามัน ที่เอาไว้กดรสนิยมคนอื่นดูเหมือนจะแสบคัน สร้างอรรถรสได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ทว่าหากเราสำรวจแก่นแท้ของ “รสนิยม” หรือ “Taste ดี” ให้ละเอียดแล้ว มันมีความเกี่ยวพันกับรากฐานการให้คุณค่าทางงานศิลปะอยู่มาก แม้ศิลปะจะเป็นเรื่องของทุกคนที่สามารถเข้าถึงได้ แต่การนำเสนอตัวตนอย่างมีองค์ประกอบศิลป์จนกลายเป็นรสนิยมที่ดีได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องผ่านการศึกษาศิลปะอย่างละเอียด และมีค่าใช้จ่ายที่สูงมากเลยทีเดียว

“รสนิยมสอนกันได้” หมายถึงอะไร?

Pierre Bourdieu นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส ผู้ให้แนวคิดเกี่ยวกับ “ทุนนิยม” ที่เกี่ยวข้องกับสนามแข่งขัน และเป็นชายผู้ให้คำจำกัดความคำว่า Taste หรือ รสนิยม เอาไว้เป็นคนแรก ได้ให้แนวคิดเอาไว้ว่า

“รสนิยม” เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ ชนชั้น ไม่ใช่แค่รสนิยมส่วนตัวเท่านั้น เพราะชนชั้นกลางหรือชนชั้นสูงมักมีโอกาส “เรียนรู้รสนิยมที่ดี” ผ่านการเลี้ยงดู การศึกษา หรือสภาพแวดล้อมได้มากกว่า

จากคำพูดของบูร์ดิเยอก็ตรงกับสิ่งที่ทุกคนเข้าใจกันก็คือ รสนิยมไม่ได้ติดตัวมาแต่กำเนิด แต่ สามารถเรียนรู้ ถ่ายทอด และฝึกฝนได้ โดยเฉพาะจากผู้ที่มีความรู้ ความมั่นใจ หรือมี “ทุนทางวัฒนธรรม” มาก่อน ซึ่งอาจจะหมายถึงชนชั้นสูงและคนรวย โดยความชอบหรือความสามารถในการเลือกสิ่งที่ “ดีงาม” หรือ “มีระดับ” ก็จะอยู่ที่การรู้จักเลือกงานศิลป์ดี ๆ เพลงดี ๆ เสื้อผ้าสวย ๆ หรือเฟอร์นิเจอร์ที่ “มีสไตล์” ดังนั้นก็ชัดเจนว่ารสนิยมนั้นสอนกันได้ แค่จะสอนไหวหรือเปล่า

รสนิยมและการสร้างตัวตนทางศิลป์ มีราคาเสมอ

แม้ว่าศิลปะจะไม่ขอบเขต ไม่มีการจำกัดความ สร้างอิสระให้กับผู้ที่เข้าถึงได้ แต่ศิลปะกลับไม่ใช่ของที่ทุกคนจะ “ใส่ใจ” ในการให้ความสำคัญ เพราะการใช้เวลากับศิลปะคือการให้คุณค่าในทางจิตใจ ตัวตน มาก่อนปัจจัยสี่พื้นฐานต่อการดำรงชีวิต ดังนั้น การสร้างความรู้ความเข้าใจว่า “อะไรคือศิลปะที่ดี?” จนนำไปสู่การฝึกฝนให้เกิดรสนิยมทางศิลป์ที่หลากหลาย ผ่านการดูงานศิลปะ วิเคราะห์ และตีความ เป็นสายวิชาที่ต้องใช้ทรัพยากรในการทุ่มเทลงไปเป็นอย่างมาก

โดยสาขาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการสร้าง “รสนิยม” ไม่ใช่เพียงแค่การรู้จักศิลปะหรูหรา แต่คือกลุ่มวิชาที่เฉพาะเจาะจง เช่น วิชาประวัติศาสตร์ศิลปะ เพื่อย้อนศึกษาความหรูหราที่เปลี่ยนไปในแต่ละยุค วิชาแนวคิดด้านความงาม (Aesthetics) ที่จะเปิดมุมมองให้เห็นว่า “ความสวย” ไม่ได้มีแบบเดียว และยังรวมไปถึงกลุ่มวิชาอภิปรายเพื่อวิเคราะห์ผลงานของศิลปินต่าง ๆ ตามยุคสมัย ก่อนจะสังเคราะห์ออกมาเป็น “รสนิยม” และ “แนวคิด” ของงานที่จับต้องได้ เช่น แฟชั่น เสื้อผ้า วรรณกรรม ภาพยนตร์ ในแต่ละยุคอีกด้วย

แน่นอนว่าหลักสูตรที่กล่าวมาไม่ได้ถูกสอนโดยทั่วไปในทุกพื้นที่ หรือทุกมหาวิทยาลัย หรือสอนกันในระดับการศึกษาภาคบังคับ แต่เป็นหลักสูตรทางเลือกให้เข้าศึกษา ซึ่งนอกจากจะเป็นหลักสูตรที่มีจำกัดแล้ว ทุนการเรียน ค่าอุปกรณ์ และระยะเวลาที่ต้องทุ่มเทไปกับเนื้อหาทางศิลปะเหล่านี้ไม่ใช่ราคาถูก ๆ เลย เพราะแค่ค่าอุปกรณ์ทางศิลปะก็ราคาหลายหมื่นแล้ว

สภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อศิลปะ กักขังรสนิยมให้คับแคบ

หากยึดตามแนวคิดของบูร์ดิเยอ สภาพแวดล้อมเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะทำให้การสอนรสนิยมมีขีดจำกัด นอกจากกลุ่มวิชาเรียนศิลปะที่อาจจะไม่แพร่หลายมากพอและมีราคาสูง ยิ่งตอกย้ำว่าการสอนรสนิยม จะถูกขีดเส้นให้กลายเป็นเรื่องของคนเฉพาะกลุ่มมากขึ้นไปอีก

เพราะสิ่งสำคัญที่จะทำให้ศิลปะถูกใช้เป็นการถ่ายทอดรสนิยมให้เกิดประสิทธิภาพ คือการเปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้ทดลองศิลปะต่าง ๆ ปรับให้เข้ากับตัวเองผ่านการลองผิดลองถูก เช่น การมองศิลปะกับความเชื่อ ประสบการณ์ หรืออัตลักษณ์ หรือที่เรียกว่า “Contemporary Art & Self-Expression” เพราะสังคมที่เปิดพื้นที่ให้เกิดการสื่อสารอารมณ์ ความคิด หรือปมภายใน ผ่านงานศิลป์ที่มี “เสียง” เป็นของตัวเอง ย่อมทำให้แต่ละคนเกิด “รสนิยม” เฉพาะตัว และจะกลายเป็น Taste ดีแบบไม่ต้องพยายามยกป้ายโปะแปะผ่านแบรนด์เนม หรือกระแสนิยม ที่บางครั้งอาจจะไม่ได้เหมาะกับตัวเอง ก็จะมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า

ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า ศิลปะพวกนี้ไม่ได้จำกัดแค่ “วาดรูปเก่ง” หรือการใช้เทคนิคการจัดความสวยงามทำอาชีพได้แล้วถือว่าจะมีรสนิยมที่ดี แต่รสนิยมที่ดีคือการเรียนรู้ที่จะต้องใช้ทรัพยากรการสื่อสารอัตลักษณ์และการสร้างภาพลักษณ์ทางวัฒนธรรม ผ่านศิลปะ แฟชั่นที่ละเอียด และใช้ทุนมากมาย จนกลายเป็นภาพที่เราเลือกจะ “เสนอตัวตน” ต่อโลกรอบข้าง ซึ่งหากสังคมและโครงสร้างประเทศใดใดไม่ได้เอื้อให้เกิดการทดลองทางศิลปะและตัวตนด้วยแล้ว ก็ยากที่จะเกิดพื้นที่ให้พัฒนาคุณค่าศิลปะจนเกิดเป็น “รสนิยมดี” ได้เช่นกัน

สรุปก็คือรสนิยมนั้นหาเรียนรู้ได้ในอากาศ อยู่ที่คุณจะลงทุนพอไขว่คว้ามันได้หรือไม่ และสภาพแวดล้อมรอบตัวคุณเอื้อให้คว้าไปถึงแก่นของรสนิยมได้หรือเปล่า แต่ไม่ว่าคุณจะมีตัวตนแบบไหน ศิลปะจะยังคงอยู่รอบตัวคุณไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง และตัวตนของคุณจะถูกนำเสนอต่อโลกรอบข้างอยู่เสมอ ไม่ว่าคุณจะจงใจให้เกิดรสนิยมแบบไหนให้คนเห็นก็ตามที

AUTHOR

นักคิด นักเขียน นักสร้างคอนเทนต์ ตัวปัญหาของกระแส ชาวเกย์ผู้แปลกแยก และนักเล่าเรื่องในรูปแบบที่แตกต่าง หลงใหลวัฒนธรรม Pop ทั้งหนังสือ ภาพยนตร์ ซีรีส์และดนตรี และยังเป็นผู้กำกับอิสระ นักดนตรีและนักแต่งเพลง รวมถึงแอดมินเพจที่ประสบความสำเร็จในโซเชียลอีกด้วย เก่งซะไม่มี