“สว.” ซึ่งย่อมาจากคำว่า “สมาชิกวุฒิสภา” และ “วุฒิสภา” ในภาษาอังกฤษเรียกว่า “Senete”
ซึ่งเป็นรากศัพท์มาจากภาษาโรมัน คำว่า Senetus ซึ่งแปลว่า Assembly of Senior หรือ สภาผู้เฒ่า สภาผู้ทรงคุณวุฒิที่มากไปด้วยปัญญาอันเลิศล้ำ
คำ ๆ นี้ เป็นคำที่ถูกใช้พูดถึงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในการเมืองไทยในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา หลังจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติได้ถูกยุบลง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ได้ให้มีการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 250 คน นอกจากนี้ เพื่อให้การทำงานของรัฐบาลเป็นไปอย่างลุล่วง ตามบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ สมาชิกวุฒิสภาสามารถที่จะมีสิทธิโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ ในช่วงเวลา 5 ปีแรกของการดำรงตำแหน่งฯ สว.
ทำให้ สว. กลายเป็นกุญแจสำคัญของการสานต่ออำนาจของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ในช่วงหลังการเลือกตั้งปี พ.ศ. 2562 และการการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 ที่ผ่านมา สว. ก็ได้ทำการโหวตบล็อกทางไม่ให้ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลในขณะนั้น สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีและจัดตั้งรัฐบาลสำเร็จได้ จนนำไปสู่การโดยส่งไม้ต่อให้พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาล และการโหวตรับรอง นายเศรษฐา ทวีสิน ของ สว. ที่ได้รับเสียงเป็นจำนวน 152 เสียง จากเสียงรวมทั้ง สส. และ สว. 482 คน (การโหวตนายกรัฐมนตรีต้องใช้เสียง สส กับ สว ร่วมกันให้เกินครึ่งหนึ่งของสองสภา)
และในวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 อำนาจของ สว. ชุดปัจจุบันในการโหวตเลือกนายกฯ ได้หมดลง แต่ก็ยังมีอำนาจในการโหวตกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และรับรองคุณสมบัติของผู้รับเลือกดำรงตำแหน่งในคณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และคณะองค์กรอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรรมการการเลือกตั้ง (ก.ก.ต.) และสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช)
โดยนับตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป กระบวนการเลือกกันเองเพื่อเป็นสมาชิกวุฒิสภาก็ได้เริ่มขึ้น โดยคุณสมบัติพื้นฐาน ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 40 ปีขึ้นไป ไม่สังกัดหรือเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ไม่ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่รัฐ และมีกำลังทรัพย์จำนวน 2,500 บาท เพื่อใช้ในการสมัครเข้าเลือกสรรหา นอกจากนี้ ในส่วนของการสรรหานั้นจะแบ่งเป็น สรรหาระดับอำเภอ สรรหาระดับจังหวัด สรรหาระดับประเทศ และมีการแบ่งกลุ่มอาชีพออกเป็นถึง 20 กลุ่ม
แน่นอนว่า ระบบการเลือก สว. แบบเลือกกันเองนี้ มีประเทศไทยประเทศแรก และประเทศเดียวที่ริเริ่มทำขึ้น และถือว่าเป็นการทำครั้งแรก ซึ่งจะต้องเต็มไปด้วยปัญหาที่ไม่เคยพบเจออย่างแน่นอน และเพื่อให้เราสามารถเห็นจุดแข็งจุดอ่อนของระบบการเลือกตั้ง และการสรรหา สว. ได้นั้น การเปรียบเทียบระบบการเลือกตั้งระหว่างไทยกับต่างประเทศ อาจจะพอช่วยให้เราเห็นภาพได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ทาง SUM UP จะมานำเสนอในเรื่อง ข้อเปรียบเทียบ รูปแบบของการเลือกตั้งและการสรรหา ของ สมาชิกวุฒิสภา (สว.) โดยจะดูกรณีของประเทศไทย กัมพูชา ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
ประเทศไทย
หากจะพูดกันอย่างตรงไปตรงมา ประเทศไทยนับได้ว่า เปลี่ยนรูปแบบการได้มาของสมาชิกวุฒิสภาหลายครั้ง พอ ๆ กับรัฐธรรมนูญที่ถูกฉีกอยู่หลายครั้งเช่นกัน นับตั้งแต่การมีสมาชิกวุฒิสภาในปี พ.ศ. 2489 หรือที่เรียกว่า พฤตสภา ซึ่งในตอนนั้นเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม ตามบทรัฐธรรมนูญของปี พ.ศ. 2489 แต่ก็ถูกรัฐประหารในปี พ.ศ. 2490 และเป็นการแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์เรื่อยมา (ที่มากกว่านั้น ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2521 สว. ยังสามารถร่วมโหวตผ่านพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี… ปีนั้น ๆ ร่วมกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร หรือ สส. ได้)
จนกระทั้งมีการเลือกตั้งสว. ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2543 ภายใต้บทรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2540 หรือที่กล่าวนามว่า “รัฐธรรมนูญประชาชน” มีการเลือกตั้ง สว. จำนวน 200 คน โดยไม่สังกัดพรรคการเมือง ซึ่งเป็นการลดการแทรกแซงของพรรคการเมือง แต่หลังการรัฐประหารในปี พ.ศ. 2549 ก็ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้น หรือที่จะรู้จักคือ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 โดยครั้งนี้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของที่มา สว. ที่ให้มีการเลือกตั้งและจากการสรรหาโดย สว. เลือกตั้ง จำนวน 76 คน (ตามจำนวนจังหวัดในเวลานั้น) และ สว. สรรหาอีก 74 คน รวมเป็น 150 คน
จนเมื่อมาถึงการรัฐประหารครั้งล่าสุดเมื่อปี พ.ศ. 2557 คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้จัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ขึ้น โดยมีการตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ โดยมี นายมีชัย ฤชุพันธ์ เป็นประธานคณะกรรมการ

โดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดนี้ได้ให้ความเห็นในกรณีของ สว. ผ่าน “คำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ เล่มที่ 1” ว่า นับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475 ในอดีต สว. มีหน้าที่เป็นเหมือนพี่เลี้ยงให้ สส. ที่ตอนนั้นยังไม่มีความรู้มากในเรื่องการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และการตรากฎหมาย จึงจำเป็นต้องมี สว. ขึ้น แต่พอมีการเปลี่ยนแปลงจากการแต่งตั้ง สว. เป็นการเลือกตั้ง สว. ซึ่งตัวผู้สมัคร สว. เองนั้นจำเป็นต้องลงหาเสียงเอง เพราะกฎหมายไม่ให้เป็นคนของพรรคการเมือง แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้สมัคร สว. จะหาเสียงได้ทั่วทุกพื้นที่ จึงต้องมีการยึดโยงกับพรรคการเมืองเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง หรืออาจถูกครอบงำจะฝ่ายการเมือง ทำให้คณะกรรมการฯ เห็นว่าควรให้คงมี สว. ไว้ ในฐานะ “สภาเต็มเติม หรือสภาพลเมือง” เพื่อให้ประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น

โดยให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการการคัดเลือกกันเอง 200 คน โดยแบ่งตามกลุ่มสายอาชีพต่าง ๆ และจะมีการเลือกในกลุ่มกันเอง และเลือกสลับไขว้กลุ่มไปมาเพื่อป้องกันการรวมหัวกัน โดยจะเลือกกัน 3 ระดับ คือ ระดับอำเภอ ระดับจังหวัด ระดับประเทศ
โดยหลังจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ได้บังคับใช้นั้น ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 269 จัดให้มีการแต่งตั้งสมาชิกวุฒิสภา 250 คน โดยแบ่งเป็นสรรหาโดยคณะกรรมการสรรหาสมาชิกวุฒิสภา 194 คน ผ่านการเสนอชื่อของกรรมการการเลือกตั้งจำนวน 50 คน และเป็นโดยตำแหน่ง 6 คน ซึ่งมีผู้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดย สว. 250 คนนี้จะมีวาระ 5 ปีนับตั้งแต่วันแต่งตั้ง และความพิเศษของ สว. ชุดนี้คือ สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีร่วมกับ สส. ได้ ตามมาตรา 272 ในบทเฉพาะกาล
ซึ่ง สว. ชุดนี้ได้หมดอำนาจลงในวันที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมา แต่จะอยู่รักษาการในตำแหน่ง จนกว่าการเลือก สว. ชุดใหม่จะแล้วเสร็จ

กัมพูชา
หนึ่งในประเทศที่มีรูปแบบการมาของ สว. ที่น่าสนใจ ก็คงจะเป็นกัมพูชา ประเทศใกล้บ้านเรา คู่รักคู่แค้นของเรา โดยความน่าสนใจก็คือ ในรัฐธรรมนูญกัมพูชา พ.ศ. 2536 ตามมาตรา 99 และ 100 โดยสมาชิกวุฒิสภามีจำนวนครึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร คือ จำนวน 62 คน โดยแบ่งเป็น 58 คนมาจากการเลือกตั้ง (ที่เป็นลักษณะตัวแทนผู้เลือกตั้ง) 2 คนเป็นผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ และอีก 2 คนมาจากการออกเสียงลงมติร่วมกันโดยสภาผู้แทนราษฎร 125 คน

ใช่ครับ ประเทศกัมพูชานั้นมีการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา หรือ สว. แต่…..
แต่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้น เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 125 คน และสมาชิกสภาเทศบาลท้องถิ่นของกัมพูชา รวม 11,622 คน โดยที่ทั้งหมดก็มาจากการเลือกตั้ง และสังกัดพรรคการเมือง โดยการเลือกตั้ง สว. กัมพูชาในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แทบไม่ต้องเดาผู้ชนะเลย เพราะพรรคการเมืองที่ได้เสียงมากที่สุดในการเลือกตั้ง สว. คือ พรรคประชาชนกัมพูชา (Cambodian People’s Party: CPP) ของสมเด็จฮุนเซน โดยได้ที่นั่งรวมทั้งสิ้น 55 ที่นั่ง จากการรวมคะแนนทั่วประเทศ และพรรคอันดับสองที่ได้ที่นั่งคือ พรรคฉันทะเขมร (Khmer Will Party: KWP) โดยได้ที่นั่งจำนวน 3 ที่นั่ง


ผลที่เกิดขึ้นคือ ภาพสะท้อนอันชัดเจนของการเมืองกัมพูชาที่พรรคประชาชนกัมพูชาของสมเด็จฮุนเซนได้ครองอำนาจทางการเมืองแทบจะเบ็ดเสร็จ ยาวนานถึง 40 กว่าปี นับจากยุคหลังเขมรแดง ทั้งการทำนโยบายประชานิยมเพื่อซื้อใจของประชาชน การทำการกุศลบริจาคเงินสร้างวัดทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ไปจนถึงการคุกคามผู้เห็นต่างทางการเมือง การยุบพรรคการเมืองผ่านการใช้กฎหมาย และการควบคุมระบบองค์กรอิสระ โดยเฉพาะคณะกรรมการการเลือกตั้ง จำนวน 9 คน มาจากเสียง สส. ในพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล 4 คน และ สส. ของพรรคการเมืองที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน 4 คน และต้องมาจากการยอมรับจากเสียงทั้งในสภาผู้แทนราษฎร 1 คน ซึ่งพรรคพรรคประชาชนกัมพูชาของสมเด็จฮุนเซน เป็นพรรคที่คุมเสียงได้เกือบทั้งสภา

ถ้าสังเกตดูจะเห็นได้ว่า 2 ประเทศแรกที่กล่าวไปนั้น ค่อนข้างจะมีปัญหาในเรื่องของความถดถอยของระบอบประชาธิปไตย (Democracy Backsliding) โดยทั้งสองประเทศต่างมีปัญหาที่ทำให้ประชาธิปไตยถอยหลัง อย่างกรณีประเทศไทย ที่รัฐบาลพลเรือนจะถูกกองทัพทหารเข้ามารัฐประหารอยู่บ่อยครั้ง มีทั้งที่ทหารเข้ามาควบคุมรัฐบาลแบบเบ็ดเสร็จ ไปจนถึงการผ่อนคลายให้นักการเมืองเข้ามามีส่วนร่วมแต่ทหารก็ยังมีอำนาจในฝ่ายบริหาร ซึ่งกว่ารัฐบาลพลเรือนจะพัฒนาสถาบันทางการเมืองได้ ก็จะถูกรัฐประหารด้วยเหตุผลมากมาย มาที่กรณีของกัมพูชา ปัญหาการเมืองมาสืบเนื่องมาจากช่วงหลังกลุ่มเขมรแดงครองอำนาจ นำไปสู่สงครามกลางเมืองกัมพูชา 3 ฝ่าย โดยที่ต่างฝ่ายต้องการควบคุมอำนาจ แต่ฝ่ายของสมเด็จฮุนเซนสามารถควบคุมอำนาจได้ นำไปสู่การทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง จนความเป็นประชาธิปไตยในกัมพูชาค่อย ๆ เลื่อนหายไป จนแค่การประท้วงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่สามารถทำได้


มาถึง 2 ประเทศต่อไปที่มีความเป็นประชาธิปไตยค่อนข้างสูง เราจะมาดูว่าลักษณะ รูปแบบ ที่มาของสมาชิกวุฒิสภา (สว.) จะเป็นอย่างไร ไปดูกันต่อเลย
ญี่ปุ่น
มาที่ประเทศญี่ปุ่น ประเทศที่หลายประเทศอยากจะเป็นแบบอย่าง ทั้งในด้านเศรษฐกิจที่ค่อนข้างแข็งแกร่ง และในด้านสังคม ในเรื่องการใช้ชีวิต และการทำงานที่เป็นระบบ และความเอาใจใส่ในงานและวัฒนธรรมร่วมสมัยที่เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก โดยเฉพาะอนิเมะ ไอดอล และภาพจำของคนทำงานตอนเช้า รวมทั้งงานสายด้านมืดอย่างหนังเอวีผู้ใหญ่ หรือกระทั้งการตูนเฮนไต (รู้สึกว่าจะออกทะเลแล้ว เข้าเนื้อหาเลยดีกว่า)
มาที่เรื่องที่มาของ สว. ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นมีรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2490 ปีโชวะที่ 21 (1947) มีชื่อเรียกว่า รัฐธรรมนูญหลังสงคราม (Postwar Constitution) ซึ่งมาแทนที่รัฐธรรมนูญเมจิ พ.ศ. 2432 ปีเมจิที่ 20 (1887) ซึ่งมีระบบรัฐสภา คือสภาผู้แทนราษฎร และสภาขุนนาง ที่สมาชิกเป็นกลุ่มชนชั้นศักดินา อดีตไดเมียว หรืออดีตผู้มีอำนาจในยุคโชกุน โดยได้รับการแต่งตั้งจากองค์จักรพรรดิญี่ปุ่น ผู้ซึ่งมีอำนาจทั้งในรัฐธรรมนูญ และเป็นที่เคารพบูชาดั่งพระเจ้า

ต่อมา ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นที่อยู่ในฝ่ายอักษะเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ามาปกครองญี่ปุ่นชั่วคราว และมีส่วนในการเปลี่ยนผ่านการเมือง โดยการผ่อนปรนทางการเมืองหลังยุคจากกลุ่มทหารและฝ่ายขวาเข้าครองอำนาจในการเมือง ปล่อยผู้ต้องขังทางการเมือง และจัดให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ โดยที่ฝ่ายสัมพันธมิตร โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่นำโดยนายพลดักลาส แมคอาเทอร์ (Douglas Macarthur) เป็นฝ่ายริเริ่มในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศญี่ปุ่น โดยใช้รูปแบบแนวคิด New Deal ของประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลต์ มาเป็นแม่แบบ และให้ฝ่ายนักกฎหมายในกองทัพและนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชนมาช่วยขัดเกลากฎหมาย ก่อนจะส่งให้ทางญี่ปุ่นตรวจสอบ แม้ในช่วงระยะแรกจะมีปัญหาในเรื่องมุมมองของข้อกฎหมาย แต่ต่อมาก็สามารถประกาศใช้รัฐธรรมนูญได้ในปี พ.ศ. 2489 ก่อนประกาศใช้ในปีต่อมา และรัฐธรรมนูญเมจิก็ได้ถูกยกเลิก
ในส่วนของที่มา สว. นั้น ตามมาตรา 43 ของรัฐธรรมนูญ ให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา มาจากการเลือกตั้งทั้งหมด โดยจำนวนสมาชิกให้เป็นไปตามที่กฎหมายได้กำหนดไว้ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 248 คน โดยมีการแบ่งสมาชิกแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ เหมือนกับ สส. และในมาตรา 26 สมาชิกวุฒิสภาอยู่ในวาระทั้งหมด 6 ปี โดยสมาชิกวุฒิสภาจำนวนครึ่งหนึ่งของวุฒิสภาจะมีการเลือกตั้งใหม่ทุก ๆ 3 ปี
และความน่าสนใจก็คือตามมาตรา 67 การเลือกนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นนั้น ต้องได้รับการยอมรับจากสมาชิกรัฐสภาทั้งสองสภา โดยออกเสียงแยกกัน (ไม่รวมเสียงสองสภาแบบของไทย) หากฝั่งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถตกลงกันเลือกนายกรัฐมนตรี ได้ ภายใน 10 วัน ให้ถือเสียงของสภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบเลือกนายกรัฐมนตรี

เราอาจจะมีภาพจำตอนโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีที่รวมเสียงในทั้งสองสภาแบบที่เคยเลือกตอนครั้งเลือกตั้งปี 2562 และปี 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้พรรคที่มี สส. มากที่สุด อาจไม่ได้เป็นรัฐบาล โดยมีเสียง สว. เป็น Kingmaker ที่จะทำให้พรรคใดก็ได้ที่รวมเสียงตั้งรัฐบาลได้ (อันเป็นผลจากบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญ 2560) แต่ถ้าดูกติกาเลือกนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นแล้ว แม้จะโหวตแยกสองสภาก็จริง แต่ก็ต้องมีเสียงสนับสนุนทั้งจากสองสภาอย่างน้อยเกินครึ่งหนึ่งของทั้งสองสภา
แต่ถ้าเราดูภูมิทัศน์การเมืองญี่ปุ่นจะเห็นว่า พรรคเสรีประชาธิปไตย (Liberal Democratic Party : LDP) เป็นพรรคการเมืองที่ครองอำนาจทางการเมืองนานที่สุด นับตั้งแต่ก่อตั้งพรรคในปี ค.ศ. 1955 (พ.ศ. 2492) โดยพรรคเสรีประชาธิปไตยเป็นตัวแทนพรรคการเมืองสายอนุรักษ์นิยมแบบญี่ปุ่น มีนโยบายที่สนับสนุนการค้าเสรี และกระชับความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ ซึ่งในการตั้งพรรคก็ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ ในการต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในเอเชียช่วงสงครามเย็น

ถึงปัจจุบันความนิยมในพรรคเสรีประชาธิปไตยในหมู่คนญี่ปุ่นถือว่ายังมีอยู่ และยังสามารถคุมเสถียรภาพสมาชิกทั้งในสองสภาได้ แต่ด้วยความนิยมของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ (Fumio KIshida) ที่ตกต่ำลงเรื่อย ๆ โดยผลสำรวจจากโพลของสำนักข่าว NHK ของญี่ปุ่นได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลของนายกรัฐมนตรี ฟูมิโอะ คิชิดะ โดยผู้สนับสนุนคิดเป็น 24 % และไม่สนับสนุนมีจำนวนมากถึง 55 % ซึ่งภาพรวมของโพลว่าด้วยความไม่คาดหวังของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลทั้งเรื่องปัญหาเศรษฐกิจ รวมไปถึงปัญหาเรื่องกฎหมายเงินสนับสนุนพรรคการเมือง และผลสำรวจจากโพลของ The Asahi Shimbun ที่ตั้งคำถามว่าฝ่ายใดที่ประชาชนคิดว่าสามารถบริหารประเทศได้ดีกว่า ผลได้ออกมาคิดเป็น 33 % บริหารโดยพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) และ 54 % บริหารโดยพรรคการเมืองอื่นที่ไม่ใช่พรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) และในการเลือกตั้งซ่อมเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งมีการเลือกตั้งใหม่ 3 เขต ผลคือพรรคพรรคเสรีประชาธิปไตยแพ้ทั้งหมด 3 ที่นั่ง และเสียที่นั่งทั้งหมดให้กับกลุ่มพรรคฝ่ายค้าน ซึ่งผลที่ออกมานี้ เราอาจจะได้เห็นปรากฏการณ์ที่พรรคการเมืองฝ่ายค้านสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ และพรรครัฐบาลอาจแพ้ราบคาบ


สหรัฐอเมริกา
มาที่อันดับสุดท้าย ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศมหาอำนาจระดับโลก ดินแดนแห่งเสรีภาพและอิสรภาพ และวัฒนธรรมอันหลากหลาย ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจระดับโลก และมีภาพเป็นตัวแทนผู้ผดุงระบอบประชาธิปไตย อันสืบเนื่องมาจากยุคสงครามเย็น ที่เป็นการเผชิญหน้าระหว่างฝ่ายเสรีประชาธิปไตยที่มีสหรัฐอเมริกาเป็นตัวแทน กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่มีสหภาพโซเวียตเป็นตัวแทน ซึ่งการเผชิญหน้าทั้งสองฝ่ายมีทั้งสงครามตัวแทน อย่างเช่นสงครามเกาหลี (ค.ศ.1950 -1953) หรือสงครามเวียดนาม (ค.ศ. 1955 – 1975) เป็นต้น และการสนับสนุนให้เกิดการรัฐประหารล้มรัฐบาลที่มีแนวคิดสังคมนิยม ซึ่งเห็นได้จากกรณีในทวีปอเมริกาใต้ อย่างเช่น ประเทศชีลีที่มีการรัฐประหาร ในปี ค.ศ. 1973 (พ.ศ. 2516) โค่นล้มรัฐบาลของประธานาธิบดีซัลวาดอร์ อเลนเด (Salvador Allende) โดยนายพลออกุสโต ปีโนเชต์ (Augusto Pinochet) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากองค์กร CIA ที่ขึ้นตรงกับรัฐบาลสหรัฐ
มาดูที่มาของสมาชิกวุฒิสภา สหรัฐอเมริกามีรัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา ที่ประกาศเมื่อปี ค.ศ. 1787 (พ.ศ. 2330 หรือตรงกับช่วงสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) โดยในหมวดแรกของรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยฝ่ายนิติบัญญัติ มาตราที่ 3 เรื่องวุฒิสภา โดยเนื้อหาอธิบายว่า วุฒิสภาของสหรัฐอเมริกาประกอบด้วยสมาชิกวุฒิสภาจากทุกมลรัฐ มลรัฐละ 2 คน โดยรับเลือกจากรัฐสภาของแต่ละมลรัฐ โดยมีวาระในตำแหน่ง 6 ปี และสมาชิกวุฒิสภามีเสียง 1 เสียงเท่ากัน
ต่อมามีการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งที่ 17 ในปี ค.ศ. 1913 (พ.ศ. 2456) โดยมีการแก้ไขบทกฎหมายจากการที่สมาชิกวุฒิสภารับเลือกจากรัฐสภาของแต่ละมลรัฐนั้น เปลี่ยนเป็น “ได้รับเลือกตั้งโดยตรงจากเสียงประชาชน” รวมถึงยังเพิ่มในกรณีที่ สว. ที่ดำรงตำแหน่งเสียชีวิต หรือเกิดเหตุอันควรที่ทำให้ตำแหน่งว่าง ให้สภามลรัฐของแต่ละรัฐ ผลักดันให้ ผู้ว่าการรัฐ ทำหน้าที่แต่งตั้ง สมาชิกวุฒิสภาเพื่อนั่งรักษาการไปก่อนจะมีการเลือกตั้งใหม่

สว. สหรัฐฯ จะมีการแบ่งสมาชิกออกเป็น 3 กลุ่ม (Classes) โดยในวาระ 6 ปี จะมี สว. เลือกตั้งทุก ๆ 2 ปี เวียนกันไปตามที่ สว. ที่อยู่ในแต่ละกลุ่ม โดย สว. สหรัฐฯ มีทั้งหมด 100 คน ซึ่งจะแบ่งได้เป็น สว. กลุ่มที่ 1 (Class 1) จำนวน 33 คน สว. กลุ่มที่ 2 (Class 2) จำนวน 33 คน และ สว. กลุ่มที่ 3 (Class 3) จำนวน 34 คน โดยหากเปรียบเทียบกับกรณีของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร หรือ สส. สหรัฐฯ ซึ่งมีวาระในตำแหน่ง 2 ปี และเลือกตั้งพร้อมกันทั้งหมด
ถามว่าทำไมสหรัฐอเมริกาถึงออกแบบการเลือกตั้งแบบนี้? คือในช่วงที่มีการร่างรัฐธรรมนูญนี้ในปี ค.ศ. 1787 บรรดาผู้แทนจากมลรัฐทั้งหมด 13 มลรัฐ ของสหรัฐฯ ในเวลานั้น ต้องการออกแบบการเลือกตั้ง สว. ให้เป็นแบบสลับฟันปลา (staggered elections) เพื่อให้วุฒิสภามีเสถียรภาพมากขึ้น และลดการฮั้วกันเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองของนักการเมืองในวุฒิสภา โดยในการเปิดสภาครั้งแรกของวุฒิสภาในปี ค.ศ. 1789 (พ.ศ. 2332) จะมีการแบ่งสว. ในแต่ละกลุ่ม (Classes) โดยจะให้ สว. จากรัฐเดียวกัน แยกออกไปคนละกลุ่ม และในครั้งแรกให้สว. กลุ่มที่ 1 (Class 1) มีวาระในตำแหน่ง 2 ปี กลุ่มที่ 2 (Class 2) มีวาระในตำแหน่ง 4 ปี และ สว. กลุ่มที่ 3 (Class 3) มีวาระในตำแหน่ง 6 ปี เพื่อในการเลือกตั้งครั้งต่อไป สว. จะมีวาระครบ 6 ปีแบบพอดิบพอดี

โดยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่จะถึงในปีนี้ ก็เป็นปีที่ สว. กลุ่มที่ 1 มีวาระครบ 6 ปี หลังจากเข้ารับตำแหน่งเมื่อปี ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561) ซึ่งในตอนนี้พรรคเดโมแครต (Democrat Party) ครองเสียงข้างมากในวุฒิสภา และพรรครีพลับริกัน (Republican Party) ครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่นั้นก็ไม่น่าสนใจเท่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่คู่มวยเก่าอย่างอดีตประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ (Donald Trump) ตัวแทนจากพรรครีพลับริกัน และประธานาธิบดีปัจจุบัน โจ ไบเดน (Joe Biden) ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต จะกลับมาลงสังเวียนการเลือกตั้งอีกครั้ง ท่ามกลางปัญหาต่าง ๆ ทั้งในและนอกประเทศ โดยเฉพาะปัญหาอิสราเอล – ปาเลสไตน์ที่รุนแรงและไม่มีท่าทีว่าจะลดลง และปัญหาความสัมพันธ์สหรัฐฯ และจีน ที่ไม่ลงรอย นั้นจึงทำให้การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นเหมือนเกมส์ชี้ชะตาโลก

โดยสรุปแล้ว สว. ในแต่ละประเทศต่างก็มีรูปแบบ ที่มา ความเป็นไปที่แตกต่างกัน ทั้งในเชิงของประวัติศาสตร์ สังคม วัฒนธรรม แต่มีสิ่งที่เหมือนกันและควรจะเหมือนกัน คือ
“สว. ต้องเป็นตัวแทนประชาชน และต้องมาจากเสียงของประชาชน”
อ้างอิง
- https://www.senate.gov/about/origins-foundations/senate-and-constitution.htm
- https://www.senate.gov/about/origins-foundations/senate-and-constitution/seventeenth-amendment.htm
- https://asia.nikkei.com/Politics/Japan-PM-s-LDP-loses-three-Diet-seats-to-main-opposition-party
- https://www.asahi.com/ajw/articles/15273181
- https://www3.nhk.or.jp/nhkworld/en/news/20240513_23/
- https://www.parliament.go.th/ewtadmin/ewt/parliament_parcy/ewt_dl_link.php?nid=35648
- https://thaipublica.org/2021/10/pridi269/
- https://www.cfr.org/japan-constitution/japans-postwar-constitution
- https://prachatai.com/journal/2020/07/88419
- https://www.ccc.gov.kh/detail_info_en.php?txtID=791
- https://www.nec.gov.kh/english/content/history-nec
- https://apnews.com/article/senate-president-election-hun-sen-manet-c8613f0cc226f938f3e09b28e65a565e
- https://www.pptvhd36.com/news/ต่างประเทศ/217978
- https://www.ilaw.or.th/articles/3518
- https://www.ilaw.or.th/articles/5775
- http://wiki.kpi.ac.th/index.php?title=การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาพ.ศ._2543
- https://www.pptvhd36.com/news/การเมือง/203892
- https://www.bbc.com/thai/articles/cjjzl7119zqo
- ปณิธัศร์ ปทุมวัฒน์. (กันยายน – ตุลาคม 2560). วุฒิสภาของประเทศญี่ปุ่น ตอนที่ 1. วารสารจุลนิติ. หน้า 171 – 175. สืบค้นเมื่อ 17 พฤษภาคม 2567. จาก https://www.senate.go.th/assets/portals/93/fileups/272/files/S่ub_Jun/13win/win59.pdf
- คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ. (2559). คำอธิบายสาระสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญ เล่มที่ 1. ม.ป.ท.