“ผู้พิการในไทยมีมากกว่า 2 ล้านคน แต่เราเห็นพวกเขาน้อยมากเลยใช่ไหม
นั่นเพราะคนพิการไม่ค่อยได้ออกไปใช้ชีวิตข้างนอกเท่าไหร่ครับ”
อาร์ต-ณภัทร สะโน นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิคนพิการ เล่าให้พวกเราฟังถึงปัญหาของผู้พิการ ขณะนั่งอยู่บน ‘วีลแชร์’ ตัวช่วยสำคัญที่ช่วยให้เขาสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระในเมืองใหญ่อย่างกรุงเทพฯ
อาร์ต ณภัทร ปีนี้อายุ 30 ปีเต็ม เล่าชีวิตในวัยเด็กให้เราฟังว่า เติบโตมากับคนเป็นแม่เป็นหลัก แม่เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่แข็งแกร่ง ความสัมพันธ์ไม่ได้ใกล้กันเท่าไหร่เพราะต่างคนต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ อาร์ตเป็นคนที่ทำงานมาตั้งแต่เด็ก ๆ มีนิสัยชอบพูดคุยกับผู้คน ชอบเข้าสังคม และชอบเที่ยว จนเรียนจบจึงได้เริ่มทำงาน ชีวิตดูเหมือนจะไม่ได้ต่างจากคนอื่น ๆ ทั่วไป จวบจนกระทั่งจุดเปลี่ยนได้มาถึงในวัย 24 ปี
เมื่อประมาณ 6 ปีที่แล้ว อาร์ตประสบอุบัติเหตุทางรถมอเตอร์ไซต์ขณะกำลังกลับบ้าน เมื่อรู้สึกตัวก็พบว่าขาทั้ง 2 ข้างไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ในช่วงแรกก็พอมีความหวังว่าจะอาจจะหาย แต่เมื่อผ่านเวลาไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มเข้าใจว่าไม่น่าจะกลับมาเดินไปไหนมาได้ได้เช่นเดิม จึงได้เริ่มทำใจและพยายามกลับมาใช้ชีวิตให้ได้เหมือนเดิม ดังที่ได้กล่าวไปในช่วงต้นว่าผู้พิการในไทยมีมากกว่า 2 ล้านคนแต่เราจะเห็นพวกเขาในที่สาธารณะน้อยมาก เพราะผู้พิการส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีความกล้าที่จะออกมาใช้ชีวิตเพราะกลัวสายตาของคนที่มองเข้าไป และพื้นที่สาธารณะไม่ได้เอื้อต่อการใช้ชีวิตสำหรับผู้พิการเท่าไหร่นัก

อาร์ตเล่าต่อว่า ก่อนหน้านี้ตอนยังไม่พิการบางจุดก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นปัญหา เดินได้ปกติ จนกระทั่งพิการและต้องเดินทางโดยใช้วีลแชร์ช่วย ทำให้เห็นปัญหาตามจุดต่าง ๆ พื้นฐานเลยก็เป็นปัญหาฟุตบาทที่บางทีก็พังบ้าง บางทีขนาดก็ไม่ได้ใหญ่พอสำหรับวีลแชร์บ้าง โดยเฉพาะฟุตบาทเส้นอโศกมนตรี เข็นรถวีลแชร์ยากมากเพราะพังเยอะมาก และน่าสงสัยมากว่าทำไมยังไม่มีใครเข้ามาจัดการเพราะเส้นอโศกเป็นเส้นที่มีคนทำงานอยู่เยอะมาก แต่หากเทียบเคียงกับเมื่อก่อนก็ดูจะดีขึ้นมาบ้างแล้ว ส่วนปัญหาเรื่องการเดินทางก็จะเห็นว่าในกรุงเทพฯ ได้มีความพยายามที่จะออกแบบมาเอื้อสำหรับผู้พิการบ้างแล้ว เช่น รถเมล์ แต่ปัญหายังคงเป็นเรื่องความกลัวและไม่กล้าออกมาใช้ชีวิตของผู้พิการ ซึ่งอันนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ที่เป็นเมืองหลวง ไม่ต้องพูดถึงต่างจังหวัดเพราะลำบากมากกว่าหลายเท่าแน่นอน

ชอบแสงสี ชอบดื่ม ชอบดริ๊งก์ คุณน้า
อาร์ตเป็นคนชอบเข้าสังคม ชอบเที่ยว และชอบดื่ม หลังจากเกิดจุดเปลี่ยนแปลงในชีวิต อาร์ตได้พยายามกลับมาใช้ชีวิตปกติ เริ่มต้นจากการออกมานั่งเล่นที่หน้าบ้าน และเมื่อผ่านไปประมาณสองปีก็ได้เข็นรถวีลแชร์ออกไปไหนมาไหน และก็คิดเพียงว่าสิ่งที่เจอในแต่ละวันก็จะเจอความท้าทายใหม่ ๆ อยู่ตลอด จนในที่สุดก็พาตัวเองกลับมาเที่ยวดื่มที่สีลมซอย 2 เพื่อกลับมารันวงการ ซึ่งแน่นอนว่าคนมองมาออกจะรู้สึกแปลก ๆ เพราะทัศนคติของคนส่วนมากมักคิดว่าผู้พิการไม่ควรออกมาเที่ยวดื่ม แต่ด้วยความที่อาร์ตมีฐานคนรู้จักอยู่ที่นั่นทำให้มีคนคอยช่วยดูแลเรื่องการเดินทางในที่ที่ไม่สามารถเข็นรถเข็นเองได้ เพราะพื้นที่ของสีลมซอย 2 ไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับคนพิการ นอกจากนี้วิธีการทรีตของเพื่อน ๆ ในสังคม LQBTG+ ยังคงเหมือนเดิมไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป
“เป็นรุก ร่าน ชอบเที่ยว และคิดว่าเราน่าจะไม่ตายเร็ว ๆ นี้ ถ้าต้องใช้ชีวิตที่เหลือต่อไป ก็ใช้ดิ” อาร์ตกล่าว เพราะมองว่าตัวเองเพิ่งจะอายุ 30 และน่าจะต้องใช้ชีวิตไปอีกนาน หากจะใช้ชีวิตอยู่ก็ขอได้ทำในสิ่งที่ชอบและมีความสุขกับมันน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า นอกจากนี้อาร์ตยังเสริมอีกว่า ตั้งแต่ผ่านความตายมาได้ก็ไม่รู้สึกกลัวอะไรอีกแล้ว ใจแข็งแรงขึ้น และอยากจะใช้ชีวิตทุก ๆ วันให้มีความสุข

รัก เซ็กส์ ของ ‘ผู้พิการ’
“เราสร้างคุณค่าด้วยตนเอง โดยที่ไม่ต้องให้คนอื่นมาสร้าง” อาร์ตเล่าว่า ชีวิตรัก ชีวิตเซ็กซ์ ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไป มีบางคนที่เข้ามาจีบตอนที่พิการและบอกว่าเธอมีเสน่ห์กว่าเมื่อก่อนอีกนะ นั่นอาจจะเพราะเรารักตัวเองขึ้น โฟกัสตัวเองเยอะขึ้น เห็นคุณค่าในชีวิตตัวเองมากขึ้น อาจจะทำให้มีเสน่ห์ขึ้นมา
‘เซ็กส์ของผู้พิการ’ ไม่ได้ต่างจากคนทั่วไปเท่าไหร่นัก เพียงแต่มันจะมีอุปสรรคเพราะมันจะมีร่างกายบางส่วนที่สูญเสียความรู้สึก ยกตัวอย่าง คนตาบอดหรือหูหนวก ก็ยังสามารถสำเร็จความใคร่ได้ตามปกติ แต่ในทางตรงกันข้าม หากเป็นผู้พิการที่ประสบอุบัติเหตุหรือพิการที่สูญเสียความรู้สึกส่วนล่างไป ก็อาจจะต้องปรับให้การมีเซ็กซ์ทำอยู่ในจุดที่รู้สึกมากที่สุดเพื่อเป็นการทดแทน นอกจากนี้ยังมีดีเทลเรื่องอื่น ๆ เช่น การนอนกอดกัน จูบกัน หรือการทำให้อีกฝ่ายสำเร็จความใคร่ ก็เป็นอีกหนึ่งความสุขที่เกิดจากกิจกรรมที่นับว่าเป็นเซ็กซ์ได้เช่นกัน ซึ่งเป็นฐานคิดเดียวกันกับการมีเซ็กซ์ของคนทั่ว ๆ ไป
ปัจจุบัน อาร์ตเลือกที่จะทำงานด้านไอทีซึ่งเป็นการทำงานอยู่ที่บ้าน และจุดประสงค์ของการเลือกทำงานจากที่บ้านไม่ใช่เพราะความพิการ แต่เพราะสามารถจัดการชีวิตตัวเองได้อย่างสะดวก อาร์ตเป็นตัวแทนของผู้พิการที่สะท้อนให้เห็นว่าความพิการอาจจะทำให้มีข้อจำกัดบ้างในการใช้ชีวิต แต่ก็สามารถมองว่าเป็นความท้าทายและออกมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข สิ่งที่ติดมาด้วยกับอุบัติเหตุครั้งนั้นอาจจะเป็นทัศนคติ ความคิด และจิตใจที่เข้มแข็งขึ้นของอาร์ต ที่มองว่าหากจจะต้องใช้ชีวิตต่อไปบนโลกใบนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร และใช้ชีวิตในแบบที่เราจะใช้ก็พอ
ในตอนท้าย อาร์ตทิ้งท้ายไว้ว่า หน่วยงานภาครัฐยังไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีพอ ขาดการทำงานเชิงรุกเพื่อช่วยให้ผู้พิการออกมาใช้ชีวิตเท่าไหร่ ภาครัฐมักมองว่าผู้พิการเป็นไข่ในหิน เป็นเครื่องมือในการทำบุญ มากกว่าที่จะมองว่าคนพิการก็คือคน และอยากฝากถึงผู้พิการทุกคนที่ยังไม่กล้าออกมาใช้ชีวิตว่า “ชีวิตมันสั้น จะนอนอยู่บนเตียงไปอีกสามสิบปีเลยหรอ ออกมาเถอะ”
