เพียงแค่ได้ยินเสียงดนตรีจังหวะสนุกสนานจากสารพัดบทเพลงที่ดังก้องมาจาก ‘รถแห่’ ก็อาจจะทำให้คุณรู้สึกหัวใจเกเรและลุกขึ้นมาเต้นอย่างไม่รู้ตัว เพราะคุณไม่อาจต้านทานความสนุกของมันได้ เราเคยสงสัยกันไหมว่า รถกะบะหรือรถบรรทุกที่บรรจุเครื่องเสียง, ลำโพง, เครื่องดนตรีอีสาน และนักร้องนักดนตรีอีกไม่กี่คน ทำไมถึงสร้างความสนุกสนานให้กับพวกเราได้มากมายขนาดนั้น

เล่าประวัติศาสตร์ ‘รถแห่’ คร่าว ๆ คือ รถแห่เริ่มต้นขึ้นในช่วงปี 2530 โดยการนำรถกะบะมาบรรจุเครื่องเสียงและขับรถแล่นไปรอบหมู่บ้านเพื่อประชาสัมพันธ์งานต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นงานแต่ง, งานบุญ, งานบวช จะถูกเรียกว่า ‘รถแห่ซาวน์’ ต่อมาในช่วงปี 2550 มีการนำรถบรรทุกขนาดใหญ่มาบรรจุเครื่องเสียงและมีนักร้องคล้าย ๆ เวทีหมอลำ ซึ่งจะร้องและบรรเลงเพลงพื้นบ้าน เป้าหมายก็ยังเป็นการประชาสัมพันธ์งานแต่ง, งานบุญ เช่นเดิม รถลักษณะนี้จะถูกเรียกว่า ‘รถแห่ดนตรีสด’ โดยสรุปง่าย ๆ ‘รถแห่’ คือการเปลี่ยนรถบรรทุกเป็น ‘เวทีการแสดง’ ขนาดย่อมที่จะมีครบตั้งแต่เครื่องดนตรี, ระบบปั่นไฟ, นักร้อง, นักดนตรี และมีสติ๊กเกอร์ติดบนตัวรถเพื่อบ่งบอกถึงชื่อวงด้วย 

วกกลับมาที่เรื่อง ‘ทำไมเราถึงไม่สามารถปฏิเสธรถแห่ได้?’ จริง ๆ วลีนี้เกิดขึ้นจาก ‘ลุงไนท์’ ยูทูปเบอร์สายแคสเกมจากช่อง ‘gssspotted’ ที่ได้ออกมาเล่านิทานและพูดถึงเรื่องนี้ โดบทุกคนก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ และหากลองสังเกตดี ๆ วัฒนธรรมดนตรีอีสานมีการต่อรองกับวัฒนธรรมอื่น ๆ และลื่นไหลไปกับทุกวัฒนธรรมตลอดเวลาเลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น การเกิดขึ้นของแร็ปเปอร์อีสาน ไปจนถึงหนังของอีสานที่ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยม ซึ่งการเกิดขึ้นของ ‘รถแห่’ คือการเอาดนตรีหลาย ๆ แนวมาผสมผสาน เช่น เพลงแนวกันตรึมของกัมพูชา, เพลงแนวหมอลำ, และในปัจจุบันก็มีการนำเพลงไทยป๊อปมาทำการแสดงร่วม นี่ก็พอจะเห็นภาพว่าตัววัฒนธรรมอีสานโดยเฉพาะทางด้านดนตรี ภาคอีสานมีการต่อรองและไหลลื่นสูงมาก ไม่ได้ยึดติดอยู่กับวัฒนธรรมหลักใด ๆ เพียงวัฒนธรรมเดียว และความลื่นไหลนี่เองที่ทำให้ดนตรีอีสานหรือ ‘รถแห่’ สามารถเข้าถึงคนภาคอื่น ๆ ที่ไม่ใช่แค่เพียงภาคอีสานเท่านั้น

นอกจากนี้ในงานวิจัยเรื่อง รถแห่อีสาน: มหรสพสัญจรข้ามพรมแดนวัฒนธรรม ของ ‘จารุวรรณ ด้วงคำจันทร์’ ได้อธิบายถึงวิวัฒนาการของ ‘รถแห่’ ไว้ว่า รถแห่เป็นการสั่งสมประสบการณ์ของคนอีสานและมองหาช่องทางใหม่ ๆ เพื่อหาการถ่ายทอดมหรสพหรือดนตรีอีสานในรูปแบบใหม่ ๆ ซึ่งการทำธุรกิจรถแห่มักจะต้องทำงานร่วมกันระหว่าง ‘รถแห่และเพลงไทบ้าน’ โดยทั้ง 2 อย่างนี้ก็จะช่วยสนับสนุนให้ดนตรีและวัฒนธรรมอีสานเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นไปอีก วัฒนธรรมอีสานผ่านรถแห่นั้นมี 2 มิติหลัก ๆ คือ มิติแรก เป็นมิติสังคมที่รถแห่เป็นภาพของคนอีสานสมัยใหม่ ที่สามารถสร้างรายได้และความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจออกนอกเขตพื้นที่ของตนเอง ทั้งยังสามารถทำให้วัฒนธรรมอีสานและศิลปินอีสานกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ส่วนมิติที่ 2 เป็นมิติทางด้านดนตรีที่นำวัฒนธรรมอีสานมาผสมผสานกับดนตรีอื่น ๆ ไปจนถึงมีการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาปรับใช้จนเกิดเป็น ‘รถแห่’ ที่สร้างควาสนุกและปลุกเร้าอารมณ์ของคนทุกภาคให้สนุกไปด้วยกัน

อย่างไรก็ดี ‘รถแห่’ อาจจะเป็นภาพจำที่ไม่ดีบ้างสำหรับบางคน แต่เบื้องลึกเบื้องหลังของรถแห่และวัฒนธรรมอีสานสามารถสะท้อนอะไรหลาย ๆ อย่าง อีกทั้งการไหลลื่นของวัฒนธรรมอีสานที่ไม่ติดกรอบนั่นเองที่ทำให้เรา “ไม่สามารถปฏิเสธรถแห่ได้”

อ้างอิง