เคอิโงะ ซากุระ ซาโต้, ซากุระ ซาโต้, เคอิโงะ ซาโต้, Miss Tiffany Universe 2025, LGBTQIA

เด็กน้อยเคอิโงะกับภารกิจตามหาพ่อจนได้เจอ

“หนูได้เจอพ่อครั้งแรกในชีวิตตอน 9 ขวบ”

“แม่หนูเสียชีวิตตั้งแต่หนูยังเด็ก ๆ แม่เคยบอกหนูว่า หนูเป็นลูกครึ่งญี่ปุ่น หนูก็เข้าใจตามประสาเด็ก 7 ขวบว่าญี่ปุ่นเป็นจังหวัด ก็เลยคิดว่าออกไปตามหายังไงก็น่าจะเจอ แต่ความเป็นจริงคือญี่ปุ่นเป็นประเทศ ตอนนั้นที่ออกไปตามหาพ่อ พี่ ๆ นักข่าวท้องถิ่นเห็นก็อยากช่วยเหลือ เลยช่วยเป็นกระบอกเสียงให้”

“ตอนที่เสียแม่ไป โลกของหนูมันแตกสลายไปทั้งหมด ไม่รู้จะดำเนินชีวิตยังไง ใช้ชีวิตยังไง คิดว่าจะไม่ได้เรียนหนังสือแล้วมั้ง ในเวลานั้นก็คือไม่เห็นแสงสว่างในชีวิตเลยสักนิด สิบด้านร้อยด้านนี่มืดไปหมดเลยนะ พ่อได้เจอพ่อเหมือนมันมีอนาคต มันเห็นแสง ทำให้เรารู้สึกว่าเราต้องสร้างความภูมิใจให้กับพ่อ”

ชีวิตที่ไม่ง่ายเหมือนจับวาง

“หลังจากที่ได้เจอกับพ่อแล้ว หนูก็ตั้งใจใช้ชีวิต ตั้งใจเรียนหนังสือ เรียนจบชั้นประถม จบชั้นมัธยม แล้วก็ต่อมหาวิทยาลัย ตั้งใจเรียน ตั้ง passion ให้กับตัวเองว่าเราทำอะไรไปเพื่ออะไร มีอาชีพที่ใฝ่ฝัน ตอนที่หนูหายไปจากสื่อ อาชีพของหนูก็คือการขายปลาปล่อยอยู่ที่วัดท่าหลวง เงินที่ได้มาหนูเอามาใช้จ่ายในการส่งตัวเองเรียน พอเข้ามหาวิทยาลัยหนูก็ใช้การเป็นแม่ค้าของหนูไปต่อยอดหาซื้อเสื้อผ้ากระสอบ ไปคัดมาแล้วก็เอามาขายออนไลน์ใน IG 

หนูส่งเสียตัวเองเรียนมาตั้งแต่มัธยม แต่ด้วยมีทุนเรียนฟรีเลยทำให้ค่าใช้จ่ายไม่ได้เยอะเท่าไหร่ พอเข้าช่วงมหาวิทยาลัยเป็นอะไรที่หนักมาก ทั้งค่าเทอม ค่าหอ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในชีวิต เราต้องคิดเรื่องเงินว่าวันนี้เราต้องกินอะไร เราต้องประหยัด เราต้องเอาเงินส่วนนี้ไปทำอะไร ก็คือช่วงนั้นหนูไม่ได้ทำศัลยกรรม หรือใช้เงินไปในทางที่สิ้นเปลืองเลย รายได้ที่มีเข้ามาเท่าไหร่ เอาเงินไปเรียนหมดเลยค่ะ อยากทำอะไรอดใจไว้ เอาเรื่องเรียนก่อน คิดแค่ว่าเดี๋ยวเรียนจบค่อยทำก็ได้ ตอนนี้หนูเรียนจบแล้วค่ะ”

ภารกิจเพื่อชุมชน สุขภาพดี ชีวิตดี

“หนูจบคณะสาธารณสุขศาสตร์ สาขาอนามัยชุมชน มหาวิทยาลัยนเรศวร พิษณุโลกค่ะ”

“หนูเคยอยากเป็นหมอ อยากเป็นนางงาม อยากเป็นคุณครู อยากเป็นตำรวจ อยากเป็นนักดาราศาสตร์ อยากเป็นอะไรตั้งมากมายในชีวิต แต่พอถึงจุดจุดหนึ่งแล้ว เราต้องมาแยกกันว่าอะไรเป็นแค่ความฝัน เราต้องมองความเป็นจริงว่าสิ่งที่เราชอบที่สุดและถนัดที่สุดคืออะไร หนูก็เลยเลือกเรียนสายวิทย์คณิต แล้วก็มาต่อยอดการเข้าสู่มหาวิทยาลัยมาเรียนสายสุขภาพ

หนูอยากมีความรู้ไว้ดูแลตัวเอง ดูแลคนรอบข้าง หนูคิดว่าการเรียนสาธารณสุขของหนูอย่างน้อย มันต้องเห็นประโยชน์ส่วนรวมมาก่อนประโยชน์ส่วนตน ซึ่งอย่างหนูเป็นคนที่เห็นชีวิตชนบทชาวบ้าน ก็คิดว่าเขาไม่ได้มีโอกาสเข้าสู่สาธารณสุขที่ถูกต้อง สิ่งเหล่านี้ทำให้หนูอยากเรียนสาขานี้เพื่อเอาความรู้มาถ่ายทอดให้ชาวบ้าน คิดอีกมุมเหมือนเป็นการตอบแทนสังคมที่สังคมเคยช่วยเหลือหนูตอนเด็ก ๆ”

“ตอนเด็ก ๆ หนูลำบากมากนะคะ ถึงขั้นติดลบเลย หนูอยากได้อะไรหนูก็ไม่เคยได้ ทุกอย่างเกิดจากคุณภาพชีวิตที่ไม่ดี ไม่มีอะไรมา support เรา มาหนุนหลังเรา ถ้าเรามีคุณภาพชีวิตที่ดี เราก็จะสามารถส่งต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของเราไปให้กับคนอื่น ๆ ได้ 

การที่หนูเลือกเรียนคณะสาธารณสุขศาสตร์ อย่างน้อยหนูก็ได้ให้ความรู้เขาว่าการป้องกันโรคต่าง ๆ เราสามารถป้องกันได้ เราสามารถดูแลตัวเองได้ เราสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ พอเรามีคุณภาพชีวิตที่ดี สุขภาพจิตเราก็จะดีตามมา ทีนี้ดีหมดเลย ทั้งด้านร่างกาย ด้านจิตใจ ความสุขก็จะตามมา”

Beyond myself by myself

“ยากที่สุดสำหรับหนูก็คือตอนมหาวิทยาลัย”

หนูแค่รู้สึกว่าเงินเป็นปัจจัยสำคัญมากที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนให้ดีหรือไม่ดี ต้องบอกเลยว่าเงินมันสำคัญจริง ๆ ตอนเด็ก ๆ หนูขาดโอกาสทางการศึกษา หนูเคยอยากจะเรียนพิเศษแต่ก็ไม่ได้เรียนเพราะว่าไม่มีเงินที่จะไปเรียนเหมือนเพื่อน ๆ

“อย่างที่เล่าให้ฟังไปนิด ๆ ตอนต้น พอเราเข้าสู่มหาวิทยาลัย เราต้องมีการจัดการเรื่องของเงิน ต้องหาเงินไปด้วย เรียนไปด้วย สำหรับหนูเป็นอะไรที่ท้าทายมาก ๆ เพราะว่าหนึ่งเราจะต้องหาเงินเตรียมให้พร้อมสำหรับค่าเทอม ไหนจะค่าหอแต่ละเดือน ไหนจะค่ากิน ความเป็นอยู่ต่าง ๆ ซึ่งตอนนั้นหนูบอกเลยชีวิตหนูไม่ได้เรียบง่าย กว่าจะผ่านตรงนั้นมาได้ คือเหนื่อยมาก ๆ แล้วก็ท้อมาก ๆ แต่คิดไว้ว่าเราจะต้องเรียนให้หนังสือให้จบเพื่อที่จะสร้างความภาคภูมิใจกับตัวเอง แล้วพอถึงวันที่หนูเรียนจบ หนูภูมิใจกับตัวเองมาก ๆ รู้สึกว่าเราทำสำเร็จแล้ว สิ่งที่เราตั้งความหวังไว้สำเร็จแล้ว มันดีมาก ๆ สิ่งที่ดีที่เกิดขึ้นอีกเรื่องคือ หนูสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลาย ๆ คนได้เหมือนกัน”

“สิ่งที่หนูชอบและถนัดมากที่สุดก็คือการหารายได้ที่เป็นการทำธุรกิจออนไลน์ เป็นการค้าขาย เป็นเจ้าของธุรกิจด้วยตัวเอง หนูมองว่าตรงนี้สามารถที่จะทำให้ชีวิตหนูก้าวหน้าไปข้างหน้าได้ ส่วนในอนาคตก็ไม่แน่ ในเมื่อหนู success กับชีวิตแล้ว หรือว่ามีทุกอย่างเพียบพร้อมแล้ว หนูอาจจะเอาตัวเองไปเข้าสู่กับความฝันที่วางเอาไว้ ก็คิดว่าในอนาคตอาจจะเป็นไปได้ที่เราอาจจะกลับไปทำงานที่เราเรียนจบมาเพราะว่าคณะของหนูมันสามารถทำงานได้ตลอดชีวิต”

ไม่จม ไม่หาย ไม่ตายจากความเศร้า

พอความทุกข์มันออกมาเป็นน้ำตาแล้ว
ก็ขอให้เริ่มต้นใหม่ ชีวิตเราเป็นแบบนี้

“หนูร้องไห้มาตั้งแต่เด็ก เวลาที่เราร้องไห้ ความรู้สึกมันออกมาจากตัวเราข้างในผ่านดวงตาออกมาเป็นน้ำตา นั่นคือความทุกข์ออกมาโดยผ่านน้ำตาแล้ว ความทุกข์ออกมาแล้วนะ เราก็เริ่มต้นใหม่สิ ถ้าหนูทุกข์ส่วนใหญ่หนูก็จะร้องไห้ออกมาเลย ไม่เก็บไว้ ไม่เอามาคิดทบทวนแบบซ้ำไปซ้ำมา หลังจากร้องไห้มันก็คือจบ มันได้ระบายออกมาแล้วว่าฉันเสียใจนะ ฉันผิดหวังนะ ฉันรู้สึกว่าไม่ดีนะ ส่วนใหญ่ก็จะร้องไห้คนเดียวเลย ฟูมฟายไปให้จบเลย

ตอนเรียนอยู่มหาวิทยาลัย บางช่วงก็ไม่มีเงินกินข้าว แต่ก็ไม่ได้บอกใครก็พยายามแสดงออกว่าฉันยังอยู่ได้ แต่พอมีเพื่อนรู้ เพื่อนก็มาหา มาพาไปกินข้าว เอาขนมปี๊ปมาให้ ตอนนั้นหนูได้ขนมปี๊ปของเพื่อนนี่แหละที่ประทังชีวิตแทนข้าว ไปเรียนเสร็จรีบกลับมาที่ห้อง มากินขนมปี๊ป”

“หนูเจอเรื่องแย่ ๆ มาเยอะ แต่ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็จะพาตัวเองไปท่องเที่ยว เชียงใหม่ พิจิตร ไปบึงสีไฟ ไปนั่งชมนก ไปชมไม้ พระอาทิตย์ตก พาตัวเองไปชมธรรมชาติ เหมือนไปบำบัดจิตใจ วิธีนี้ช่วยได้มาก ๆ เราจะได้รับรู้ว่าความสงบที่แท้จริงในชีวิต ธรรมชาติทำให้เราได้ไตร่ตรองตัวเอง คิดทบทวนมีสติกับการใช้ชีวิตมากขึ้นว่าอันดับต่อไปเราควรที่จะทำอะไร นั่งคิดว่าวันนี้เราอาจจะล้มเหลว เราอาจจะผิดหวังในชีวิต แต่เราก็ได้กลับมาทบทวนว่าพรุ่งนี้เราจะทำอะไรเริ่มต้นใหม่ยังไง 

การเดินทางทำให้เราไม่เศร้า พอเราไม่จมติดอยู่กับเรื่องที่เศร้า เราก็จะสามารถก้าวผ่านตรงนั้นไปได้ เพราะว่าการที่เราได้ออกเดินทาง ได้พักผ่อน เหมือนเป็นการตั้งสติรีเซตความคิดของตัวเองใหม่ แล้วก็ทำให้ตัวเองมีกำแพงที่แข็งแกร่งมากขึ้นกว่าเดิมด้วยค่ะ”

“หนูผ่านความยากลำบากมาเยอะมาก ๆ จนทำให้หนูรู้สึกว่าต้องใช้ชีวิตของตัวเองให้มีคุณค่าที่สุด ไม่ว่าหนูจะทำอะไรในชีวิตแต่ละอย่างจะมีการวางแผนชีวิต วางแผนว่าพรุ่งนี้จะทำอะไร ตื่นนอนแล้วทำต้องอะไรบ้าง หนูก็จะวางแผนไว้เลย หนูบอกตัวเองว่าจะไม่ใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ให้หมดไปในแต่ละวันอย่างไม่มีเป้าหมาย พอเราเริ่มทำบ่อย ๆ เราจะเริ่มมีความรับผิดชอบต่อตัวเอง เพราะเรารู้ว่าเรามีหน้าที่อะไรบ้าง”

กับสิ่งที่ฉันเป็น

“หนูเป็นของหนูแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ๆ”

“ด้วยความที่สังคมรอบข้างตอนนั้นยังไม่ได้เปิดรับมากขนาดนี้ หนูก็พยายามที่จะไม่แสดงจุดที่อยู่ภายในใจของตัวเองออกมา ก็เพิ่งมาเปิดเผยตอนเข้าสู่มหาวิทยาลัย เริ่มดูแลตัวเองเปลี่ยนแปลงตัวเอง ทำให้ตัวเองดูดีขึ้น

หนูเริ่มดูแลตัวเองจริงจังตอนเรียนมัธยม ก็เริ่มจากใช้ครีมดูแลผิวพรรณ ดูแลร่างกายเราให้สะอาดสะอ้านไปเรื่อย ๆ แล้วก็ค่อย ๆ พัฒนาตัวเองไปเรื่อย ๆ ตั้งจุดมุ่งหมายใหม่ในชีวิต จริง ๆ เราถามกับตัวเองมาตลอดว่าเราชอบอะไร ชอบแบบไหน อยากข้ามเพศหรือไม่ เราไตร่ตรองและคิดทบทวนกับตัวเองมาตลอด”

“พอเราได้เป็นของตัวเอง แสดงออกในจุดยืนของตัวเองที่เราเป็นตัวเอง หนูรู้สึกดีใจมากนะ รู้สึก success กับการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้มาก เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้มันสนองความต้องการของหนูข้างในจิตใจ 100% กับสิ่งที่หนูพยายามทำมาตลอด จนถึงวันนี้ ณ เวลานี้ หนูคิดว่าหนูสามารถที่จะยืนในสังคมได้อย่างภาคภูมิใจ 

ตอนเด็กหนูก็อาจจะโดน bully บ้าง โดนล้อว่าไม่สวยบ้าง แต่หนูไม่ได้ใส่ใจอะไร เพราะหนูมีเป้าหมายให้กับชีวิตของหนูมาตลอด หนูคิดแค่ว่าตราบใดที่มีหมอศัลยกรรมอยู่ เราสามารถที่จะทำให้เราสวยได้ (ยิ้มสวยอย่างภาคภูมิใจ)

หนูไม่เคยปิดบังใครเรื่องการทำศัลยกรรม และกล้าพูดออกสื่ออย่างเต็มภาคภูมิใจ ใคร ๆ ชอบถามหนูว่าทำไมซากุระกล้าพูด ทำไมซากุระไม่อายที่จะบอกคนอื่นว่าทำศัลยกรรมมา หนูรู้สึกภูมิใจในตัวเองมากกว่า มองตัวเองในกระจกแล้วเห็นการพัฒนาตัวเองของเรา จากที่เด็ก ๆ หนูไม่ได้เป็นแบบนี้เลย ทุกคนคงเคยเห็นสภาพหนูตอนเด็ก ๆ กันทั้งประเทศแล้ว ตอนนี้หนูเปลี่ยนจากคนนั้นเป็นคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ หนูตั้งใจที่จะทำให้เป็นแบบนี้ แล้วหนูก็สามารถทำได้ นี่คือความภูมิใจ ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย”

“สำหรับเรื่องศัลยกรรม เราต้องศึกษาเกี่ยวกับการทำศัลยกรรมให้ดี ๆ แน่นอนว่าเดี๋ยวนี้ศัลยกรรมมีเต็มไปหมด เราต้องรู้จักเลือกหมอที่มีประสบการณ์ ไปฟังรีวิวอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องคิดทบทวนศึกษาหาข้อมูลดี ๆ เพราะว่าหนูเคยทำศัลยกรรมผิดพลาดมาเหมือนกัน เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา ไม่มีอะไรได้เกิดประโยชน์กับตัวเราเลยก็อยากให้ทบทวนศึกษาดูดี ๆ อันนี้สำคัญมาก ๆ เลยนะคะ”

ก้าวเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ของซากุระกับเวทีมิสทิฟฟานี

“หนูมีพี่ปอย ตรีชฎากับ พี่โยชิ เป็นไอดอลการประกวด พี่ ๆ ทั้งสองไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียว แต่ยังเก่งด้วย แล้วไม่ใช่มีชื่อเสียงแค่ในประเทศไทย แต่ความสามารถของพี่เขาไปในระดับต่างประเทศ”

“สมัยเด็ก ๆ หนูก็มีความฝันอยากประกวดนางงาม หนูเคยเอาผ้ามาทำเป็นผม ผ้าอีกผืนมาทำเป็นเกาะอก คิดว่าเรากำลังใส่ชุดราตรี แล้วก็เดินสับ ๆ อยู่ที่หน้ากระจก หนูคิดว่าสักวันหนูจะทำให้ตัวเองมีโอกาสก้าวเข้าสู่จุดนี้ให้ได้

ที่ผ่านมาเคยมีพี่คนหนึ่งติดต่อหนูมาตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว ตอนเรียนอยู่ปีสี่ แต่ตอนนั้นยังไม่พร้อม เพราะมีภาระหน้าที่เรื่องการเรียนที่ต้องทำออกมาให้ดีที่สุด ก็เลยปฏิเสธพี่เขาไป อีกอย่างหนึ่งหนูอยากเตรียมตัวเองให้พร้อมด้วย ขอไปทำศัลยกรรมเพิ่มก่อน ขอไปดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้ก่อน”

“การมาครั้งนี้หนูบอกเลยว่าหนูไม่มีความรู้ทางด้านนางงามเลย ทุกอย่างที่เพิ่มเติมเข้ามาเลยดูยากไปหมด หนูต้องไปเรียนเดินเพราะที่ผ่านมาหนูเป็นคนที่เดินต๊อก ๆ แต๊ก ๆ เดินไปวัน ๆ ไม่คิดเหมือนกันว่าท่าเดินที่ถูกต้องจะสามารถพัฒนาตัวเราได้ การเดินที่ถูกต้อง เดินให้สง่างามทำให้บุคลิกภาพเราดีขึ้นได้มาก ๆ นอกจากการเดิน หนูก็ต้องไปเรียนการพูด ให้รู้จักพูด ฝึกออกเสียงให้ถูกต้อง ให้มีความกล้าและมั่นใจที่จะพูด นอกจากการพูด ก็จะเป็นการฝึกตอบคำถาม การที่เราจะตอบคำถามได้เราก็ต้องศึกษาเรียนรู้เรื่องราวของโลกว่าโลกมันก้าวไปข้างหน้ามากแค่ไหนแล้ว ทำให้หนูต้องอ่านมากขึ้น ฟังมากขึ้น แล้วทำให้เรามีความรู้รอบตัวมากขึ้นจากการที่เราศึกษามากขึ้น 

หนูต้องฝึกยิ้มกับกล้อง พูดกับตัวเองในกระจก หลายอย่างมาก เรียกได้ว่าหนูปรับบุคลิกภาพใหม่ทั้งหมดเลย ซึ่งหนูก็เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่งที่ใช้ชีวิตธรรมดา กินข้าว อาบน้ำ ทำงาน เข้านอนปกติเลย แต่วันหนึ่งเราจะต้องพลิกบทบาทตัวเองให้ไปเป็นนางงาม สิ่งที่เราต้องทำก็คือปิดจุดบกพร่องของเรา แล้วทำทุกอย่างให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด และที่สำคัญให้เป็นตัวของหนูมากที่สุด”

“ตอนที่หนูไปสมัครหนูบอกตรง ๆ นะว่าหนูไม่รู้ว่าจะสู้คนอื่นได้ไหม ไม่มั่นใจเลย แต่หลังจากนั้นทำให้หนูกลับมามองตัวเองอย่างมั่นใจว่าในตัวหนูก็มีดีในอีกด้านที่หลาย ๆ คนยังไม่เคยเห็น หนูพยายามผลักดันสิ่งเหล่านี้ให้ออกมา ให้ทุกคนเห็นว่าหนูก็เป็นอีกคนหนึ่งนะที่พร้อมจะเติมเต็มความรู้ใหม่ ๆ เข้ามา ยอมที่จะเรียนรู้ในจุดบกพร่องของตัวเองเพื่อที่จะพาตัวเองไปให้ถึงฝันให้ได้

การมาประกวดครั้งนี้จึงทำให้หนูรู้จักการพัฒนาตัวเอง รู้จักยอมรับจุดบกพร่องของตัวเอง รู้ว่าจุดบกพร่องของตัวเองคืออะไร แล้วก็นำจุดบกพร่องนั้นมาแก้ไขเพื่อให้หนูเป็น the best version ที่ดีที่สุดค่ะ”

“หนูขอบคุณแฟนคลับนางงามทุกคนเลยนะคะที่ให้คำแนะนำ ให้คำติชม แล้วก็ทำให้หนูรู้จักจุดบกพร่องของตัวเอง ได้นำไปพัฒนาและแก้ไขเพื่อพร้อมที่จะมาเสิร์ฟแม่ ๆ นางงามนะคะ ขอบคุณมาก ๆ เลยค่ะ ฝากเชียร์ด้วยนะคะหมายเลขที่ 18 ค่ะ แล้วก็สามารถติดตามหนูได้ที่ช่องทาง Tiktok มาพูดคุยในไลฟ์ได้เลยค่ะ ชื่อว่า Sakura_aaaaa1 ค่ะ”

AUTHOR

ทะเล จำปี ดนตรี ทราย และ ฉัน