ในประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การตัดสินใจเข้าสู่สงครามเป็นการกระทำที่ร้ายแรงที่สุดของรัฐชาติ ด้วยแนวคิดเรื่อง “เหตุผลอันชอบธรรมในการทำสงคราม” หรือที่รู้จักในภาษาละตินว่า Casus Belli (มูลเหตุแห่งสงคราม) จึงเป็นศูนย์กลางของการถกเถียงทางกฎหมายและปรัชญามานานหลายศตวรรษ
ภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศสมัยใหม่ โดยเฉพาะกฎบัตรสหประชาชาติ การใช้กำลังทหารถูกจำกัดอย่างยิ่งยวด จะชอบด้วยกฎหมายก็ต่อเมื่อได้รับมอบอำนาจจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือในกรณีที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อ “การป้องกันตนเอง” จาก “การโจมตีด้วยอาวุธ” ที่เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น หลักการนี้มีรากฐานมาจากทฤษฎี “สงครามอันชอบธรรม” (Just War Theory) ซึ่งกำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวด เช่น ต้องมี “เหตุอันควร” (Just Cause) และต้องเป็น “ทางเลือกสุดท้าย” (Last Resort)

อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ารัฐชาติต่าง ๆ มักบิดเบือนหลักการเหล่านี้ พวกเขาไม่ได้ละทิ้งแนวคิดเรื่อง Casus Belli แต่เลือกที่จะ “สร้าง” หรือ “ประดิษฐ์” มันขึ้นมาแทน
โดยเป้าหมายที่แท้จริงไม่ใช่การสร้างความชอบธรรมในเวทีโลก แต่เพื่อควบคุมและชี้นำความคิดเห็นของสาธารณชนในประเทศของตนเอง การสร้างเรื่องเล่าว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกกระทำ จะช่วยระดมการสนับสนุนและมอบ “ใบอนุญาตทางศีลธรรม” ให้แก่รัฐบาลในการทำสงคราม ดังที่อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เคยกล่าวไว้อย่างน่าขนลุกว่า “ข้าพเจ้าจะจัดหาเหตุผลเชิงโฆษณาชวนเชื่อสำหรับการทำสงคราม ความน่าเชื่อถือของมันไม่สำคัญ”
เหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ย ชนวนก่อเหตุสงครามเวียดนาม
“เหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ย” (Gulf of Tonkin Incident) ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้เป็นข้ออ้างในการขยายสงครามเวียดนามอย่างเต็มรูปแบบ เหตุการณ์นี้ไม่ได้เป็นเพียงความเข้าใจผิด แต่เป็นผลลัพธ์ของการบิดเบือนข้อมูลอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจทางการเมืองในการทำสงคราม ที่ท้ายที่สุดแล้วได้สร้างความสูญเสียอย่างประเมินค่ามิได้
โดยเหตุการณ์อ่าวตังเกี๋ยในเดือนสิงหาคม 1964 คือจุดเปลี่ยนที่นำไปสู่การผ่าน “มติอ่าวตังเกี๋ย” ซึ่งมอบอำนาจเกือบจะเบ็ดเสร็จให้แก่ประธานาธิบดีในการทำสงคราม อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่เปิดเผยในภายหลังได้เปิดโปงว่าเรื่องเล่าอย่างเป็นทางการนั้นเต็มไปด้วยการบิดเบือนและการโกหกโดยเจตนา

บริบทที่ถูกปกปิด การยั่วยุ ไม่ใช่การลาดตระเวนอย่างสันติ
ภาพมายาที่ว่า เรือรบอเมริกันกำลังปฏิบัติภารกิจอย่างสันติในน่านน้ำสากลนั้นไม่เป็นความจริง ในช่วงเวลาดังกล่าว สหรัฐฯ กำลังดำเนินปฏิบัติการลับสองอย่างควบคู่กันไปเพื่อบ่อนทำลายเวียดนามเหนือ
แผนปฏิบัติการ 34A (OPLAN 34A) เป็นโครงการลับที่ใช้หน่วยคอมมานโดของเวียดนามใต้เข้าปฏิบัติการโจมตีแบบ “ตีแล้วหนี” ต่อเป้าหมายต่างๆ ตามแนวชายฝั่งของเวียดนามเหนือ
ปฏิบัติการเดโซโต (DESOTO Patrols) เรือพิฆาต USS Maddox ซึ่งเปรียบเสมือนตัวละครหลัก กำลังปฏิบัติภารกิจรวบรวมข่าวกรองทางสัญญาณ (SIGINT) เพื่อดักจับการสื่อสารและเรดาร์ของเวียดนามเหนือ
ความเชื่อมโยงที่สำคัญคือ ปฏิบัติการเดโซโตของเรือ Maddox มีการประสานงานเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์และรวบรวมข่าวกรองเกี่ยวกับปฏิกิริยาของเวียดนามเหนือต่อการโจมตีของหน่วยคอมมานโด 34A ในคืนวันที่ 30-31 กรกฎาคม เพียงไม่กี่วันก่อนอุบัติการณ์ครั้งแรก หน่วยคอมมานโดได้เข้าโจมตีเกาะฮอนเมและฮอนงูของเวียดนามเหนือ การปรากฏตัวของเรือ Maddox ในบริเวณใกล้เคียงหลังจากนั้นจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ และได้ทำลายคำกล่าวอ้างที่ว่า การโจมตีของเวียดนามเหนือเป็น “การกระทำที่ปราศจากการยั่วยุ” โดยสิ้นเชิง
ความจริง ความคลุมเครือ และการโกหก
ในบ่ายวันที่ 2 สิงหาคม เรือ Maddox ถูกเข้าประชิดโดยเรือตอร์ปิโดของเวียดนามเหนือ 3 ลำเกิดการปะทะกันขึ้น โดยเรือ Maddox ได้รับความเสียหายเล็กน้อยจากกระสุนปืนกลเพียงนัดเดียว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง แต่เป็นการตอบโต้โดยตรงต่อปฏิบัติการ 34A และการลาดตระเวนเชิงรุกของสหรัฐฯ
วันที่ 4 สิงหาคม คือวันแห่งการโจมตีที่ไม่มีอยู่จริง เพราะนี่คือหัวใจของเรื่องราวที่ถูกสร้างขึ้น ในคืนนั้น เรือ Maddox และเรือพิฆาต USS Turner Joy รายงานว่ากำลังถูกโจมตีอีกครั้งท่ามกลางสภาพอากาศเลวร้าย อย่างไรก็ตาม หลักฐานกลับเต็มไปด้วยข้อสงสัยตั้งแต่ต้น ประจักษ์พยานในที่เกิดเหตุ ผู้บัญชาการเจมส์ สต็อกเดล นักบินที่ถูกส่งไปสนับสนุน ได้ให้การในภายหลังว่าเขามี “ที่นั่งที่ดีที่สุด” แต่กลับ “ไม่เห็นอะไรเลย” ไม่มีเรือข้าศึก ไม่มีตอร์ปิโด
ผู้บังคับการเรือ Maddox นาวาเอก จอห์น เจ. เฮอร์ริค ได้ส่งโทรเลขแสดงความกังวลว่ารายงานอาจเป็นผลมาจาก “สภาพอากาศที่ผิดปกติซึ่งส่งผลต่อเรดาร์และพลโซนาร์ที่ตื่นตัวเกินเหตุ” และแนะนำให้มีการประเมินอย่างรอบคอบก่อนตอบโต้

รายงานภายในของสำนักงานความมั่นคงแห่งชาติ (NSA) โดยนักประวัติศาสตร์ โรเบิร์ต เจ. ฮันย็อก ซึ่งเปิดเผยในภายหลัง ได้ข้อสรุปที่น่าตกใจว่า “ไม่มีการโจมตีเกิดขึ้นในคืนนั้น” ฮันย็อกพบว่าเจ้าหน้าที่ NSA ได้จงใจบิดเบือนหลักฐานโดยเพิกเฉยต่อข้อมูลข่าวกรองกว่า 90% ที่ขัดแย้งกับเรื่องเล่าเรื่องการโจมตี
พวกเขายังแปลข้อความสำคัญผิดพลาด โดยตีความข้อความเรื่องการ “กู้เรือ” ที่เสียหายจากวันที่ 2 สิงหาคม ว่าเป็นการเตรียม “การโจมตี” ครั้งใหม่ หลักฐานชิ้นเด็ดที่รัฐมนตรีกลาโหม โรเบิร์ต แม็คนามารา นำไปยืนยันต่อรัฐสภา แท้จริงแล้วเป็นการ “สร้างขึ้น” โดยนำข้อความที่ไม่เกี่ยวข้องกันมารวมกัน และเอกสารต้นฉบับภาษาเวียดนามของข่าวกรองชิ้นนี้ได้ “หายไป” จากแฟ้มเอกสารของ NSA อย่างไร้ร่องรอย ในที่สุด แม้แต่แม็คนามาราเองก็ได้ยอมรับในภายหลังว่าการโจมตีในวันที่ 4 สิงหาคมนั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง
มติอ่าวตังเกี๋ย ใบเบิกทางสู่สงคราม
แม้จะมีข้อสงสัยมากมาย แต่ประธานาธิบดีจอห์นสันและแม็คนามารากลับเดินหน้าต่อไป โดยนำเสนอเรื่องราวที่บิดเบือนต่อรัฐสภา ด้วยแรงผลักดันนี้ รัฐสภาจึงได้ผ่าน “มติอ่าวตังเกี๋ย” ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นในวันที่ 7 สิงหาคม 1964 มติฉบับนี้ได้ให้อำนาจแก่ประธานาธิบดี “ที่จะใช้มาตรการที่จำเป็นทั้งหมดเพื่อขับไล่การโจมตีด้วยอาวุธใด ๆ ต่อกองกำลังของสหรัฐอเมริกา” มันจึงเปรียบเสมือน “เช็คเปล่า” (blank check) ที่มอบอำนาจในการทำสงครามให้แก่ฝ่ายบริหารโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการประกาศสงครามตามรัฐธรรมนูญ

ราคาที่ต้องจ่าย ผลกระทบอันมหาศาลจากคำโกหก
ข้ออ้างที่ถูกสร้างขึ้นในอ่าวตังเกี๋ยได้ปลดปล่อยหายนะสงครามที่มีขนาดและความรุนแรงเกินกว่าที่คาดคิด สงครามได้คร่าชีวิตผู้คนไปมหาศาล ยอดรวมผู้เสียชีวิตทั้งหมดอาจสูงถึง 2.5 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นทหารอเมริกันกว่า 58,220 นาย และชาวเวียดนาม (ทั้งทหารและพลเรือน) อีกหลายล้านคน อายุเฉลี่ยของทหารอเมริกันที่เสียชีวิตคือ 23.1 ปี และอัตราการบาดเจ็บจนพิการรุนแรงสูงกว่าสงครามโลกครั้งที่สองถึง 300%
ขณะที่ค่าใช้จ่ายโดยตรงของสงครามอยู่ที่ประมาณ 168,000 ล้านดอลลาร์ในขณะนั้น (เทียบเท่ามากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน) การทำสงครามโดยไม่ขึ้นภาษีได้ก่อให้เกิด “ภาวะเงินเฟ้อครั้งใหญ่” ในทศวรรษ 1970 แต่ต้นทุนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือความไว้วางใจต่อรัฐบาลที่พังทลายลง ก่อให้เกิด “ช่องว่างแห่งความน่าเชื่อถือ” (The Credibility Gap)
สังคมอเมริกันแตกแยกอย่างรุนแรงระหว่างกลุ่มผู้สนับสนุนสงครามและขบวนการต่อต้านสงครามครั้งใหญ่ ความพ่ายแพ้ยังสร้าง “อาการเวียดนาม” (Vietnam Syndrome) หรือความไม่เต็มใจที่จะเข้าไปพัวพันกับความขัดแย้งทางทหารในต่างแดน และนำไปสู่การผ่าน “รัฐบัญญัติอำนาจสงคราม” (War Powers Act) ในปี 1973 เพื่อจำกัดอำนาจของประธานาธิบดี
ขณะที่สิ่งแวดล้อมก็ได้รับผลกระทบ เพราะกองทัพสหรัฐฯ ได้พ่นสารเคมีกำจัดวัชพืช “เอเจนต์ออเรนจ์” จำนวนมหาศาลเพื่อทำลายป่าไม้ซึ่งเป็นที่หลบซ่อนของฝ่ายตรงข้าม ปฏิบัติการ “Operation Ranch Hand” ได้พ่นสารเคมีไปทั่วพื้นที่กว่า 4.5 ล้านเอเคอร์

สารเคมีนี้มีการปนเปื้อนของไดออกซิน (Dioxin) ซึ่งเป็นสารพิษร้ายแรงและคงทนสูง มันได้ทำลายระบบนิเวศ ปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหาร และยังคงสร้างผลกระทบต่อสุขภาพมาจนถึงปัจจุบัน สำหรับทหารผ่านศึกอเมริกัน มันเชื่อมโยงกับโรคร้ายแรงหลายชนิด เช่น มะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคพาร์กินสัน สำหรับชาวเวียดนามผลกระทบนั้นรุนแรงยิ่งกว่า โดยเฉพาะอัตราการเกิดความพิการแต่กำเนิดที่น่าสยดสยอง ซึ่งส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง
อุบัติการณ์อ่าวตังเกี๋ยนำมาสู่ข้อสรุปที่น่าสะพรึงกลัว มันคือการบิดเบือนความจริงอย่างเป็นระบบเพื่อสร้าง Casus Belli ที่จะรับใช้เป้าหมายทางการเมือง สายโซ่แห่งเหตุและผลนั้นชัดเจน ข้ออ้างที่เป็นเท็จนำไปสู่มติที่มอบอำนาจเบ็ดเสร็จ ซึ่งนำไปสู่สงครามเต็มรูปแบบ และท้ายที่สุดนำไปสู่โศกนาฏกรรมระดับโลก

สงครามเวียดนามจึงเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่สุดที่ย้ำเตือนถึงอันตรายของการใช้ข้ออ้างเพื่อทำสงคราม มันแสดงให้เห็นว่า เหตุผลที่รัฐบาลนำมาใช้ชักนำประเทศเข้าสู่สงครามนั้นสมควรได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มข้นที่สุด เพราะเมื่อใดก็ตามที่เหตุผลในการทำสงครามถูกสร้างขึ้นจากคำโกหก ผลลัพธ์ที่ตามมาย่อมเป็นโศกนาฏกรรมที่ไร้ขอบเขตเสมอ
ท้ายที่สุดแล้วสงครามอาจเป็นดังคำกล่าวของ Erich Marua Remarque เจ้าของนิยายโด่งดังเรื่อง All Quiet on the Western Front หรือที่รู้จักกันในชื่อภาษาไทยที่ว่า แนวรบด้านตะวันตก เหตุการณ์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง โดยเขาได้กล่าวโดยรวมไว้ว่า “สงครามทำให้เราสูญสิ้นความเป็นคน เราเข่นฆ่ากันไปด้วยการชักจูงของผู้มีอำนาจเท่านั้นเอง”
อ้างอิง
- https://simple.wikipedia.org/wiki/Casus_belli
- https://lsd.law/define/casus-belli
- https://www.britannica.com/topic/casus-belli
- https://www.britannica.com/event/Gulf-of-Tonkin-incident
- https://legal-resources.uslegalforms.com/c/casus-belli
- https://forum.paradoxplaza.com/forum/threads/examples-of-historical-false-flag-covert-operations-and-false-pretexts-for-war.559320/
- https://www.ebsco.com/research-starters/military-history-and-science/gulf-tonkin-incident
- https://www.archives.gov/milestone-documents/tonkin-gulf-resolution
- https://dcas.dmdc.osd.mil/dcas/app/conflictCasualties/vietnam/vietnamSum
- https://www.gcsehistory.com/faq/warcost.html
- https://www.uswings.com/about-us-wings/vietnam-war-facts/
- https://vietnamveteranproject.org/statistics-2/
- https://www.thebalancemoney.com/vietnam-war-facts-definition-costs-and-timeline-4154921
- https://www.digitalhistory.uh.edu/disp_textbook.cfm?smtid=2&psid=3469
- https://www.vassar.edu/news/a-half-century-later-understanding-the-impact-of-the-vietnam-war
- https://ohiostate.pressbooks.pub/sciencebites/chapter/the-use-and-effects-of-agent-orange-in-vietnam/
- https://www.publichealth.va.gov/exposures/agentorange/conditions/index.asp
