“ตรงนี้เป็นชุมชนใหญ่ ตามชื่อเลยค่ะ สี่แยกบ้านแขก มีหลายศาสนามาก บางทีเช้า ๆ มีพระมาดื่มชา พูดคุยกับชาวมุสลิม ชุมชนเราไม่เคยมีปัญหาด้านความต่างทางศาสนาเลย”
“การได้มาอยู่ในพื้นที่แห่งนี้มันทำให้ได้เห็นชีวิตผู้คน บางคนมาดื่มชาทุกวัน จู่ ๆ วันหนึ่งหายไป มารู้อีกที… เสีย เราก็รู้สึกว่า ดูสิ… ชีวิตคนเรามันก็สั้นแค่นี้เอง”
รูปประโยคที่เต็มไปด้วยความเข้าใจโลกเหล่านั้นออกมาจากคำบอกเล่าของ พี่วา-สุมาพร ดลขุมทรัพย์ ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่สวมใส่ฮิญาบสีดำสนิท ผู้เป็นทายาทรุ่นที่ 4 แห่งร้านกาแฟไทยบังใหญ่ ร้านกาแฟเก่าแก่โบราณที่ตั้งอยู่ในชุมชนสี่แยกบ้านแขกมานานกว่า 80 ปีเต็ม ด้วยความเก่าแก่ ทำให้สถานที่แห่งนี้กลายเป็น ‘สภากาแฟ’ ที่ไม่ใช่แค่เพียงสถานที่สำหรับทานไข่ลวกหรือจิบชาซีลอนเท่านั้น แต่สถานที่แห่งนี้ยังเป็นเหมือนกับพื้นที่เปิดสำหรับการแลกเปลี่ยนความคิด ทัศนคติ ไปจนถึงความแตกต่างทางศาสนาและวัฒนธรรม

ต้นกำเนิดของ ‘ร้านกาแฟไทยบังใหญ่’ ตั้งแต่สามแยกบ้านแขกมาจนถึงสี่แยกบ้านแขก
จากปากคุณพ่อที่เล่าให้ฟัง ช่วงแรก ๆ ร้านจะอยู่ทางด้านนอก แต่ตอนนั้นมันยังไม่เป็นสี่แยก ยังเป็นสามแยกอยู่ เวลาใครไปใครมา พอข้ามมาฝั่งธนก็ต้องแวะมาทานชาที่ร้านก่อน ต่อมามันมีการตัดถนนเส้นลาดหญ้า ร้านก็เลยขยับเข้ามาอยู่ด้านในก็เลยอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนนั้นมาเลย ซึ่งตอนรุ่นพ่อก็จะขายเป็นเครื่องดื่มจำพวกชา กาแฟ ขนมปังปิ้ง และก็มีพวกอาหารมุสลิม ถ้าเด่น ๆ เลยก็จะเป็นซุปหางวัว ข้าวหมก ก๋วยเตี๋ยวแกง
วันแรกสู่การรับไม้ต่อการเป็นทายาทรุ่นที่ 4 แห่งร้านกาแฟไทยบังใหญ่
วันแรกสั่นมาก (หัวเราะ) ชงผิด ชงถูก ถามลูกค้าตลอด กินอะไรนะคะ หวานไหมคะ มันตื่นเต้นมากเลย กลัวว่าตัวเราเองจะทำได้ไม่ดีเท่ารุ่นก่อน ๆ กลัวการเปรียบเทียบว่าพอเป็นรุ่นลูกมาชงแล้วจะยังไหวไหม ช่วงแรก ๆ ก็ท้อมาก เพราะพอลงมาทำจริงจังมันเหนื่อยมาก ลูกค้าแต่ละคนที่เข้ามาก็ไม่เหมือนกัน เราก็ต้องพยายามเข้าใจความต่างตรงนั้น บวกกับต้องพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ได้ด้วย

‘ชาซีลอน’ เมนูซิกเนเจอร์ประจำร้านกาแฟไทยบังใหญ่
เมนูซิกเนเจอร์ยังไงก็ต้อง ‘ชาซีลอน’ แน่นอนอยู่แล้ว ตอนนั้นเราเคยถามคนที่เอาชามาส่งให้เราว่าทำไมถึงเรียกว่าซีลอน เขาก็อธิบายว่า ชาวอังกฤษสมัยก่อนเขาจะเรียกศรีลังกาว่าซีลอนและตัวชามันเป็นชาของศรีลังกา เขาก็เลยเรียกต่อ ๆ กันมาว่า ‘ซีลอน’ ซึ่งมันจะเป็นตระกูลชาดำ ชาอัสสัมก็จะอยู่ในตระกูลชาดำเหมือนกัน แล้วแต่ว่าใครจะนำมาใช้แบบไหน โดยตัวชาซีลอนกับชาอัสสัมจะมีความแตกต่างกัน ชาอัสสัมใบจะใหญ่กว่า ส่วนชาซีลอนใบเขาจะเล็ก ๆ แต่มีความโดดเด่นกว่าทางด้านความเข้มและกลิ่นเขาจะหอมมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ส่วนเทคนิคการชงให้อร่อยที่สุดคือ น้ำต้องเดือด น้ำต้องร้อนจัด ๆ เวลาเราใส่น้ำร้อนลงไปโกรกชา ตัวชามันจะออกมาได้ดี ถ้าความร้อนมันไม่ได้เวลาโกรกชามันจะออกมาไม่เต็มที่และทำให้หอมไม่สุดค่ะ


ที่มาของชื่อร้านและการเป็นพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางการเมือง
มาจากชื่อคุณปู่ค่ะ เพราะช่วงรุ่นคุณปู่จะเป็นยุคที่ค่อนข้างบูมมาก ๆ อาจจะเป็นเพราะว่าในสมัยนั้นตัวคุณปู่เองเขาทำเกี่ยวกับพวกสาธารณะเยอะค่ะ เช่น ตั้งศูนย์อาสาสมัครป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน (อปพร.) เป็นประธานในชุมชน มันเลยทำให้ร้านเรากลายเป็นจุดศูนย์กลางของชุมชนนี้ เวลาใครมีปัญหาอะไร ใครมีเรื่องอะไร หรือมีอะไรจะแจ้ง ก็จะมาพูดคุยกันที่ร้านเราหลัก ๆ หรือบางทีมีการจัดกิจกรรมชุมนุมปีใหม่ วันเด็ก หรือวันอะไรก็แล้วแต่ คุณปู่เขาก็จะเป็นโต้โผใหญ่ เป็นคนจัดงานอะไรแบบนี้ค่ะ
ทีนี้พอพูดถึงเรื่องการเมือง ร้านเราก็คล้ายจะเป็นฐานเสียงที่สำคัญด้วยเหตุผลที่ว่าถ้ามาที่นี่จะต้องได้เจอคนเยอะแน่ ๆ ทำให้สมัยก่อนเวลามีการหาเสียงหรือมีการเลือกตั้งเขาก็จะมาที่นี่กันเป็นหลัก ซึ่งในรูปนี้จะมีคุณทวดที่ก่อตั้งร้านนี้มา คนนี้เป็นคุณปู่ ส่วนคนกลางเป็นท่านควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ 4 ในยุคนั้น เหมือนที่บอกอะค่ะ ว่าร้านเราจะค่อนข้างสำคัญเกี่ยวกับการเป็นฐานเสียงทางการเมือง เท่าที่จำได้ก็จะมีท่านสมัคร สุนทรเวชก็เคยมา

‘ความขัดแย้ง’ อาจเกิดขึ้นบ้าง แต่จบลงในสถานที่แห่งนี้
ถ้าเป็นความขัดแย้งเกี่ยวกับทางด้านศาสนาไม่มีนะคะ แต่ถ้าเป็นเรื่องการเมืองก็อาจจะมีบ้าง บางทีนั่งพูดคุยและรู้สึกว่าเห็นไม่ตรงกันก็อาจจะมีบ้าง ซึ่งเขาก็ถกเถียงกันธรรมดา ไม่ได้ถึงขั้นรุนแรงอะไรขนานนั้น ส่วนมากที่เห็นก็จะประมาณว่า แนวความคิดอยู่คนละขั้วกัน ตอนแรกก็คุยกันดี ๆ สักแป๊บเสียงเริ่มดังขึ้น (หัวเราะ) ลูกค้าก็มอง เราก็มองว่าจะยังไงดี แต่สุดท้ายพอต่างคนต่างคุย ต่างได้พูดเหตุผลกันออกมา ของคุณเป็นแบบนี้นะ ของเราเป็นแบบนี้ มันก็กลายเป็นเรื่องตลกไปมากกว่า เพราะสุดท้ายประชาชนคนเราก็ต้องดำเนินชีวิตต่อไป การเมืองก็เป็นส่วนการเมือง แต่ทุกชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ถามว่าเราจะมาเถียงกัน ทะเลาะกัน มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรค่ะ มันก็ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันไปก็เท่านั้น

‘สภากาแฟมุสลิม’ พื้นที่แห่งความหลากหลายทางวัฒนธรรม
ลูกค้าที่เดินเข้ามาในร้านค่อนข้างหลากหลายมากเลยค่ะ ด้วยความที่ตรงนี้มันเป็นชุมชนใหญ่ ตามชื่อเลยค่ะ สี่แยกบ้านแขก มีหลายศาสนามาก ไทยพุทธ ไทยจีน ไทยมุสลิม หรือศาสนาคริสต์ ชุมชนนี้คือมีครบหมด เช้ามาบางทีพระมานั่งดื่มชาพูดคุยกันกับชาวมุสลิม ชุมชนเราไม่ได้มีปัญหาความต่างทางด้านศาสนาอะไรเลย ยกตัวอย่าง โบสถ์คริสต์เขามีเทศกาลไข่อีสเตอร์ เขาก็จะเดินมาแจก เราก็รับไว้ เราก็ยอมรับในศาสนาของเขา ประเพณีของเขา เราจะไม่มีมาแบบ ฉันไม่รับนะ ฉันไม่เอานะ คือไม่มี
พอพูดถึงศาสนาอิสลามหรือร้านเราที่เป็นมุสลิมอะค่ะ บางคนที่นับถือศาสนาอื่น ๆ จะแทบไม่อยากเข้ามาเลยด้วยซ้ำ แต่หากคุณได้เข้ามาสัมผัสจริง ๆ ได้เข้ามาเห็นวิถีชีวิตของคนในชุมชนนี้เขามีความถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมาก ๆ เสน่ห์ของคนในชุมชนมันเป็นลมหายใจที่หลากหลายวัฒนธรรม ซึ่งมันสามารถดำรงมาได้จนถึงทุกวันนี้แสดงว่ามันต้องไม่ธรรมดา มันเป็นความแน่นแฟ้นของคนในชุมชน หลักใหญ่ใจความสำคัญก็คือ ความเข้าใจกัน การให้เกียรติซึ่งกันและกัน ทุกอย่างมันเลยดำเนินไปได้ค่ะ

‘สภากาแฟมุสลิม’ พื้นที่แห่งชีวิต
เสน่ห์ของร้านกาแฟแบบเก่ามันเป็นสถานที่ที่ทำให้คนได้มาพบปะ พูดคุย แลกเปลี่ยน แชร์ความคิดเห็นกัน บางคนมาบอกฉันป่วยนะ เดี๋ยวจะต้องผ่าตัดแล้ว มารู้อีกทีเสียชีวิต เราก็เลยรู้สึกว่า…
“การได้พบปะพูดคุยกันทุกวันมันก็สำคัญนะ
บางคนมานั่งหัวเราะเสียงดัง เรามองเขาก็มีความสุขของเขาแบบนี้
กลับบ้านไปเขาอาจจะเหงาไม่มีใครก็ได้”
เรามองเห็นความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นมันเลยจะรู้สึกใจหายมาก ๆ ถ้าสิ่งเดิม ๆ ที่เราเคยเห็นในทุกวันมันจะค่อย ๆ หายไป บวกกับมันทำให้เราแทบจะปลงกับชีวิตเพราะเราเข้าใจชีวิตมากขึ้น เข้าใจว่าชีวิตคนเรามันก็มีเท่านี้ เคยมีประสบการณ์ครั้งหนึ่ง เรื่องนี้จะติดอยู่ในใจเรามาตลอด ลูกค้าเป็นคนจีน เขาอยู่แถววงเวียนใหญ่ เขาบอกกับเราว่า ลุงอยู่ตรงนี้มานานแล้วนะ ทำไมลุงไม่เคยรู้เลยว่ามีร้านอยู่ตรงนี้ พอเขามาทานที่ร้านบ่อย ๆ เข้า เขาก็ได้เจอเพื่อนใหม่ที่นี่ก็เลยมาแทบจะทุกวัน จนวันหนึ่งเขาบอกว่า
“น้องวา… เดี๋ยวลุงต้องไปผ่าตัดหัวใจนะ ถ้ายังไงลุงหายเดี๋ยวลุงมาอีก
แต่ถ้าลุงไปผ่าแล้วหายไปเลยเป็นอันว่ารู้กันนะ”
เราก็ใจเสียเลยตอบกลับไปว่า “คุณลุงต้องหายนะคะ ลุงอย่าหนีไปไหนนะ เพื่อนฝูงลุงก็อยู่ที่นี่หายแล้วจะได้มานั่งคุยกัน” สุดท้ายเวลาผ่านไป เพื่อนเขามาบอกว่าลุงเสียชีวิตจริง ๆ เราก็เลยแบบ ดูสิ.. ชีวิตคนเราสุดท้ายมันก็แค่นี้เอง เราเลยอยากให้ร้านนี้ไม่ได้เป็นแค่ร้านกาแฟอย่างเดียว อย่างน้อยคนอื่นมองเข้ามา เขาจะเห็นเราเป็นมากกว่านั้น เป็นที่นั่งคุย นั่งพัก นั่งปรับทุกข์สำหรับพวกเขา เราไม่ได้คิดจะโฟกัสอยู่แค่เรื่องธุรกิจอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว

อนาคตของร้านกาแฟไทยบังใหญ่กับการเป็นพื้นที่สภากาแฟมุสลิม
ถ้าถามว่าเลิกขายไหม ในใจคิดว่ายังไงก็ไม่เลิก เพราะเราชอบบรรยากาศแบบนี้มาก ๆ แต่มันก็จะมีอุปสรรคช่วงโควิด-19 ช่วงนั้นยอมรับเลยว่าลูกค้าหายไปเยอะมาก เพราะว่าร้านเราผู้สูงอายุจะค่อนข้างเยอะ เสียชีวิตไปในช่วงนั้นก็เยอะ ชุมชนช่วงนั้นก็เงียบเหงาลงไปด้วยเพราะต่างคนก็ต้องต่างดูแลตัวเอง ตอนนั้นก็มีแอบ ๆ คิดว่า ถ้าร้านเรามันเสียค่าเช่าก็คงจะไม่ไหวเหมือนกัน แต่โชคดีที่มันเป็นบ้านเรา พอสถานการณ์โรคระบาดมันดีขึ้น ลูกค้าก็เริ่มโทรมาถามว่า ร้านเปิดหรือยัง อยากกินชาที่นี่เพราะไม่เหมือนที่อื่น เราได้ยินก็ใจฟูที่อย่างน้อย ๆ ก็ยังมีลูกค้าโทรตาม เราก็เลยสู้ต่อ ยิ่งเวลาร้านเราปิด ลูกค้าโทรมาบอกไม่มีที่นั่งเล่นเลย เราก็สงสารลูกค้าด้วย และมันก็ทำให้เรามีแรงที่จะทำต่อไปด้วย
ส่วนอนาคตต่อไปก็ยังไม่ได้วางแผนอะไรไว้เลย เคยคุยเล่น ๆ กับลูกว่า ถ้าแม่ตายไปจะมีใครทำต่อไหม? แต่ตัวลูกก็บอกไม่เอานะ ไม่อยากทำ เราก็ไม่บังคับ เราก็คิดแค่ว่าถ้าเรายังมีแรงอยู่ยังไงร้านเราก็ต้องดำรงอยู่ต่อไปเพื่อให้วิถีดั้งเดิมแบบนี้ได้อยู่ต่อไป ส่วนในวันข้างหน้ามันก็จะเป็นยังไงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในใจคิดว่าต้องมีลูกสักคน 1 ใน 3 คนนี้ล่ะที่อยากจะเลือกมาทำธุรกิจต่อจากเราได้

ตกตะกอนชีวิตผ่านการเป็นเจ้าของสภากาแฟเก่าแก่
บทเรียนจากทำธุรกิจนี้มีเยอะเหมือนกันนะ มันทำให้เรามองชีวิตเปลี่ยนไป จากเมื่อก่อนตอนวัยรุ่น เราก็ไม่ได้สนใจอะไรเท่าไหร่ จนเราได้มายืนอยู่ตรงนี้ เราได้เรียนรู้การขายของ เราได้เรียนรู้การพูดคุยกับลูกค้า เราได้เป็นผู้รับฟังเรื่องราวของลูกค้า บางคนเขาก็จะเลือกมาคุยให้เราฟัง อีกอย่างคือ มันทำให้มองเห็นสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ ชีวิตคนเรามันไม่เหมือนกันเนาะ บางทีอยากให้ทุกคนลองหยุดคิด พิจารณาดูว่าสิ่งที่ทำอยู่ในทุก ๆ วันมันโอเคแล้วหรือยัง เรามีความสุขกับมันไหม และเราจะหาความสุขจากสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้าได้ไหม อยากทำอะไรควรรีบทำอะค่ะ ชีวิตมันสั้น อย่าไปมองอะไรที่มันไกลตัวเกิน มันจะเหนื่อยและกดดันตัวเอง
