หลาย ๆ คนที่กำลังติดตามซีรีส์ “เธมโป้ (ThamePo) Heart That Skips a Beat” คืนนี้น่าจะรอลุ้นกันว่าจะยังไงต่อ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวง MARS หรือความสัมพันธ์ของเธมกับพี่โป้
วันนี้…วาเลนไทน์เดย์ SUM UP ชวนทุกคนมาร่วมเดินทางไปกับความรักและมิตรภาพของพวกเขาทั้ง 6 คน กับบทสัมภาษณ์ยาว ๆ น่ารักนุ้บนิ้บ มีแต่รอยยิ้ม เรื่องราวสนุก ๆ หลังกอง ความพยายามที่ผ่านเรื่องยาก ๆ กับผลงานซีรีส์เรื่องแรกของ 5 หนุ่ม LYKN และความอบอุ่นที่อุ่นยิ่งกว่าไมโครเวฟของพี่เอส พี่ชายคนโตของพวกเขากับความสัมพันธ์ที่ซัปพอร์ตและดูแลกันเสมอมา
มาร่วมเดินทางไปกับเรื่องราวของพวกเขา วิลเลี่ยม เอส เลโก้ นัท ฮง ตุ้ย ใน The Rhythm of Us (ThamePo) Heart That Skips a Beat
เมื่อกล้องพร้อม ไฟพร้อม ทีมพร้อม คนสัมภาษณ์พร้อม น้อง ๆ พร้อม … เราก็เริ่มกันเลย เวลาดี แสงสวยบนชั้นสูงของตึก GMM ทำให้เราได้ภาพวิวดี ๆ มาให้ทุกคนได้ชื่นชมกัน
หลังจากทักทายกันตามประสา บทสนทนาง่าย ๆ จึงเริ่มต้นขึ้น…
SUM UP : อยากให้น้อง ๆ พูดถึงคาแรกเตอร์ของแต่ละคนในซีรีส์ว่าใครเป็นใคร มีอะไรที่ยาก ๆ บ้างมั้ยกับบทบาทที่เราได้รับ

วิลเลี่ยม : สวัสดีครับ ผมวิลเลี่ยมครับ รับบทเป็น เธมครับ ซีนที่ผมชอบอยู่ท้าย ๆ เรื่อง ยังไม่ออนแอร์นะครับ เป็นซีนที่ผมได้เล่นแล้วรู้สึกว่าเป็นเธมจริง ๆ รู้สึกว่าเราชอบมาก มันเป็นซีนที่…ตอนนี้พูดไม่ได้ เราเหมือนเราเครียดกับซีนนี้เหมือนกันว่าเราจะเล่นยังไง เพราะว่า กลัวว่าจะเล่นได้ไม่ถึง แต่พอเราทำได้ก็เลยรู้สึกว่าชอบซีนนี้มาก แล้วที่รู้สึกว่าเป็นตัวเองเลยก็คืออีพีแรกที่มาถึงก็จะวีน ๆ ใส่พี่โป้ช่วงเจอกันแรก ๆ (หัวเราะ)
ผมรู้สึกว่าการเป็นเธม เวลาที่ต้อง Perform เพื่อขึ้นเวที เป็นจังหวะที่ยากที่สุด ผมมานั่ง Realize ตัวเองว่ามันยากตรงไหน พอเป็นเราที่เป็นวิลเลี่ยม เราไม่เคยต้องมาเวิร์กช็อป แต่พอเรามาเป็นเธม เวลาที่เธมจะต้อง Perform มันจะมี Layer ยังไง จะเป็น Layer เดียวกันกับวิลเลี่ยมมั้ย เราก็ลองเล่นดูว่าเธมจะมีลูกเล่นไหม จะเล่นกับแฟนคลับไหม หรือจะแบบยังไง เหมือนเราต้องว่าอยู่กับเรื่องนี้เอาไว้ก่อน เพราะว่าบางทีเราก็หลุดความเป็นวิลเลี่ยมออกไปด้วย

เอส : สวัสดีครับ เอสครับ รับบทเป็น โป้ครับ เรื่องนี้เป็นซีรีส์เรื่องที่ 6 ของผมแต่เป็นเรื่องแรกที่ได้บทนำ แล้วคาแรกเตอร์ที่ได้รับเป็นคาแรกเตอร์ที่มีความซับซ้อนมากกว่าเรื่องอื่น ๆ รวมกัน สำหรับการแสดงถือว่าเป็นการท้าทายตัวผมมาก ๆ ยิ่งท้าทายยิ่งต้องทำให้ออกมาดี ยิ่งต้องพัฒนาตัวเองในด้านการแสดงให้มากขึ้น ต้องทำการบ้านมากขึ้น ได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ มากกว่าแต่ก่อนเยอะมาก
เรื่องนี้เป็นตัวละครโป้อายุ 25 ที่มีความ Mature แล้วก็มีประสบการณ์ในชีวิตที่เป็นปม ทําให้เราต้องถ่ายทอดออกมาในแต่ละเวย์กับแต่ละคน มันมีเลเยอร์ มีขั้นตอน แต่ละอีพี แต่ละช่วงของซีรีส์ มันคือ Character Development ที่ไม่เหมือนกัน
ผมรู้สึกชอบในคาแรกเตอร์ของโป้ เพราะเขามีความเป็นมนุษย์สูงมาก แล้วตัวโป้เองเป็นคนดีมาก ๆ ผมได้เรียนรู้อะไรบางอย่างจากโป้ แล้วก็สามารถเอามาใช้ในชีวิตจริงได้ อย่างเรื่องของการใส่ใจในคนอื่นมาก ๆ ชอบช่วยเหลือคนอื่น ทําเพื่อคนอื่น
ส่วนซีนที่ประทับใจในซีรีส์ก็คือ ผมมีซีนที่ประทับใจอยู่หลายซีน ในทุก ๆ อีพี แต่ว่าซีนที่ประทับใจที่สุดที่ยังไม่ออนแอร์ก็มี แต่ขอพูดถึงซีนที่ออนแอร์ไปแล้ว ก็คือซีนสะพานลอย ซีน 5 เซน คือผมรู้สึกว่าซีนนี้ เป็นซีนที่เราต้อง reshoot กันด้วย แล้วค่อนข้างยาวนาน หมายถึงว่าด้วยการบิลด์แบบเดินไปส่งเดินไปเดินมา แล้วก็มาจบไปที่สะพานลอย
ผมรู้สึกว่ามันคือความ delicate ความประณีตของบท แล้วฟีลตัวละครเป็นความเรียบง่ายมาก ๆ ผมรู้สึกว่าคนที่ดูแล้วน่าจะรู้ถึงฟีลที่ซีรีส์ต้องการสื่อสารออกไป มันมีความน่ารักไปหมด มีความกลมกล่อมไปหมด ตอนที่เล่นเราก็รู้สึกว่ามู้ดมันดีมาก ๆ ชิลล์มาก ทุกอย่างดีหมดเลยครับ เหมือนเรากำลังเดินเล่นกันจริง ๆ ไม่ได้กำลังเล่นซีรีส์

เลโก้ : สวัสดีครับ เลโก้ครับ รับบทเป็น นาโนครับ ของเลโก้นะครับ ซีนที่ประทับใจแน่นอนว่าเลโก้ประทับใจทุกซีนที่ตัวเองเข้า แต่ว่าคําถามคือทําซีนไหนที่เป็นตัวเองใช่ไหม ก็ขอย้อนไปตอนอีพีที่ 5 ละกัน เป็นอีพีที่นาโนจะเห็นพี่ ๆ ในวงเดินออกจากบ้านวงไป คือ รายละเอียดที่คุณเห็นอาจจะเป็นแค่มโนนั่งมองพี่ ๆ อยู่ แต่สิ่งที่คุณไม่เห็นคือ ท่านั่งของผม เป็นท่าที่ผมนั่งประจำ นั่งอยู่บ้าน นั่งกินข้าว ไม่รู้เป็นเพราะลูกอีสานรึเปล่า แต่คนที่บ้านนั่งท่านี้กันหมด เป็นท่าหน้าที่ชันเข่าขึ้นมา มันรู้สึก comfortable แล้วก็รู้สึกว่าแค่อยากทําให้ซีนนี้เหมือนเราอยู่บ้านจริง ๆ
ด้วยความที่ vibe มันคือบ้านวง แล้วเราพยายามจะตีความให้รู้สึกว่านี่เป็นบ้านที่เราอยู่มานาน เป็นวงที่อยู่ด้วยกันมานานจนเรารู้สึกไม่จําเป็นต้องเกร็ง แม้กระทั่งท่านั่งหรืออะไรมากกว่าครับผม ก็เลยนั่งให้ตัวเองสบายที่สุด แล้วมันก็เหมือนได้ย้อนกลับไป Childhood behavior ที่ว่าเราตอนเราอยู่บ้านจริง ๆ ตอนพ่อแม่เดิน ตอนทํากับข้าว ทุกคนในบ้านเดินพาไปผ่านมา ทําให้รู้สึกตัวเอง Relate แล้วก็มองย้อนกลับด้วยภาพ flashback ที่พุ่งเข้ามาใส่หน้าตัวเลโก้ พอกลับไปย้อนดูตอนที่ออนแอร์ไปแล้วก็รู้สึกว่า “โคตรเลโก้เลยว่ะ โคตรจะเลโก้เลย” รู้สึกชอบมาก
เลโก้ให้ความสําคัญในเรื่องของการที่จะเรียนรู้ชีวิตของนาโนมาก เพราะว่าพอเป็นในเรื่องของการแสดงก็เหมือนที่พี่วิลเลี่ยมบอกว่า เราต้องมานั่งโฟกัสกับชีวิตของคนอื่น ทําให้เลโก้ต้องมานั่งพยายามนั่งศึกษามุมมองของเด็กคนนี้ ความคิดความอ่านของเด็กคนนี้ การเติบโตของเด็กคนนี้ พยายามต้องเข้าใจหลักสูตรชีวิตของคนคนหนึ่งเหมือนเรามานั่งเรียนวิชาประวัติศาสตร์แต่มันจะลึกกว่าตรงที่เราจะต้องเข้าไปเป็นตัวละครตัวนั้นแล้วก็ต้อง Express อารมณ์ของเขาออกมาให้ได้
เพราะฉะนั้น สิ่งที่ยากกับเลโก้ คือ พอมันเป็นครั้งแรกของการแสดงแบบจริงจัง ก็จะมีการบล็อกในเรื่องของความคิดว่า ทําไมถึงต้องทําอย่างนี้นะ ทําไมถึงต้องเป็นอย่างนี้ ทําไมเราถึงเลือกเป็นอย่างนี้ แต่เลโก้ไปได้ยินนักแสดงรุ่นพี่มา เขาก็บอกว่าการแสดงที่ดีคือเราต้องไม่ Judge ตัวละคร เราต้องไม่เอาความคิดเรามาเป็นบล็อก หน้าที่ของเรามีแค่เราเป็นเหมือนร่างเปล่า ๆ แล้วให้เขามาใช้ร่างเราในการสื่อสารตัวเองออกไป เลโก้ต้องทําตรงนั้นให้ได้
พอคิดได้อย่างนี้ มันก็เลยทําให้การเป็นนาโน flow ขึ้นกว่าเดิม แล้วก็ไปได้ไกลกว่าเดิมมาก ๆ ทําให้รู้สึกว่าเราอินกับตัวละครนี้มาก ๆ แล้วเราก็เรียนรู้จากตัวละครนี้เยอะมาก ๆ

นัท : สวัสดีครับ นัทครับ รับบทเป็น จุนครับ ของผมชอบซีนที่ผมไปถ่ายคิวแรกเลย ซีนในอีพี 3 ซึ่งถ่ายที่ท่าเรือ แล้ววันนั้นเป็นคิวแรกคิวเปิดเลย ผมก็เป็นคนที่ไปถ่ายคนแรก ซีนนั้นถ่ายทั้งวัน แล้วผมก็กังวลพอสมควรเพราะว่าเป็นซีรีส์เรื่องแรก เป็นคิวแรก คนแรกที่ได้เข้าซีนซึ่งผมก็เตรียมตัวมาประมาณหนึ่ง พอถึงเวลาต้องเข้าซีน ตอนนั้นรู้สึกเลยว่าเราเป็นจุนได้ดีที่สุดแล้ว เหมือนทุกอย่างมันเข้าเนื้อเราหมด เราเพิ่งเวิร์กช็อปมาใหม่ ๆ ก่อนหน้านี้ผมยังแอบกังวลเรื่องบทอยู่บ้าง แต่พอถ่ายจริงมันเป็นไปตามที่จุนรู้สึก ผมประทับใจซีนนั้นมาก ๆ ครับ
ส่วนเรื่องยาก ๆ ของผม ผมก็รู้สึกว่าการแสดงมันก็ยากเหมือนกัน เพราะว่านี่ก็เป็นเรื่องแรกด้วย แล้วก็ผมก็ได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างกับจุน เพราะว่าจุนจะเป็นคนที่แตกต่างกับผมมาก ทั้งนิสัย ทั้งความคิด ทําให้ผมได้เรียนรู้อย่างหนึ่งก็คือความมั่นใจ อย่างที่ผมบอก จุนจะเป็นคนที่มั่นใจมาก ๆ ทําให้ผมได้ลองหยิบความมั่นใจของจุนมาใช้ในชีวิตจริงเหมือนกัน พยายามทําให้ตัวเอง ชิล ๆ มั่นใจ เวลาที่จะทำอะไรก็จะช่วยให้ผมมั่นใจมากขึ้น แล้วก็ทําในสิ่งที่ผมไม่ต้องคิดอะไรเยอะ เพราะว่าตัวผมเองจะเป็นคนที่คิดเยอะ ซึ่งจุนก็เป็นคนที่คิดเยอะเหมือนกัน แต่คิดแล้วทำเลย ส่วนผมคิดแล้วลังเลว่าจะทําอย่างนี้ดีมั้ย อย่างนั้นดีมั้ย แต่พอเอาความคิดจุนมาใส่ในตัวผม ก็รู้สึกว่าเราทําอะไรได้หลายอย่างมากขึ้น แล้วก็มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ฮง : สวัสดีครับ ฮงครับ รับบทเป็น ดีแลนครับ ผมก็มีฉากสั้น ๆ ที่ผมประทับใจคือฉากที่ผมเผากระดาษ มันคือ feel back home ของผมครับทุกคน ฟีลเหมือนผมเผากระดาษเวลาไปไหว้เจ้ากับที่บ้าน ผมว่าผมฝึกมาทั้งชีวิตเพื่อมาซีนนี้โดยเฉพาะ (หัวเราะ) แต่ว่าพอไปเล่นซีนนั้น ผมก็เผาอยู่หลายรอบเหมือนกัน เพราะว่าผมค่อนข้างกลัวไฟ แล้วก็บางทีก็คือมันก็ต้องปล่อยกระดาษใช่ไหมครับ ให้มันลงถัง แต่ผมก็ปล่อยไม่ลงสักที บางทีมันก็ลงใกล้เท้าบ้างลงอะไรบ้าง แต่ว่าสุดท้ายก็ลงถังได้ครับ
เรื่องยาก ๆ ก็ยากตรงการแสดงครับ (ยิ้ม) ก่อนอื่นคือเราต้องไขตัวละครที่เล่น ตัวละครดีแลนเขามีเกราะป้องกันอยู่แล้ว คุณจะต้องรู้จัก ต้องหาเหตุผลให้ว่าทําไมตัวละครเป็นแบบนี้ ทําไมถึงต้องตั้งคําถามแบบนี้ ทําไมถึงต้องอารมณ์ฉุนเฉียวตลอดเวลา เหมือนเรามารู้จักกับคนที่จับต้องไม่ได้คนหนึ่ง มันต้องหาเอง ตอบเอง หาจากมุมมองคนอื่นด้วยที่เขาอาจจะเจอแบบนี้มา เราต้องหาประสบการณ์จากคนอื่นมาด้วยเพื่อมาเสริมให้คาแรกเตอร์มันชัดขึ้น เข้าใจตัวคาแรกเตอร์มากขึ้น ต้องทําการบ้านเยอะมาก ๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นอ่านบท ทํา background ตัวละครที่ทําให้เราเข้าใจเวลากลับมานั่งอ่าน เพราะว่าเวลาถ่ายก็ถ่ายข้ามไปข้ามมา บางทีเรากําลังเป็นตัวละครได้แบบกําลังเข้าตัวละครได้ดีเลย แล้วเหมือนห่างหายไปสักพักหนึ่ง แล้วต้องกลับมาถ่ายใหม่ พอมี background ให้อ่าน ก็ทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

ตุ้ย : สวัสดีครับ ตุ้ยครับ รับบทเป็น เปปเปอร์ครับ ผมชอบซีนแคมป์ปิ้ง เป็นซีนที่เราหกคนอยู่ด้วยกัน รู้สึกจะเป็นซีนท้าย ๆ วันนั้นเป็นวันที่ตัวละครอยู่กันครบ เราหกคนอยู่ในซีนเดียวกัน ซึ่งอาจจะไม่ได้มีบ่อย ๆ แต่ซีนนั้นเป็นซีนที่ทุกคนร้องเพลงด้วยกัน แล้วก็มีพี่โป้เป็นคนถ่าย ผมว่ามันเป็นซีน positive ที่น่ารักดี ทุกคนนั่งร้องเพลงกัน แล้วก็มีคนหนึ่งถ่ายรูปอยู่ ดูพวกเราอยู่
เรื่องยาก ๆ ของผมก็เหมือนทุกคน เปปเปอร์กับผม ไม่เหมือนกันสักเท่าไหร่ เปปเปอร์จะดูเรียบร้อยกว่า ดูนิ่ง ๆ กว่า ตัวจริงของผมจะดู energetic กว่า พูดเร็ว ๆ หน่อย เสียงดัง ๆ ซึ่งหลัก ๆ พี่ผู้กํากับก็จะให้ทําการบ้านเยอะ เขาจะให้ลองว่าแต่ละคนจะมีวิธีเข้าใจตัวละครไม่เหมือนกัน สําหรับผม ผมจะชอบคิดว่าเหมือนกับการ์ตูนตัวหนึ่ง ตัวละครตัวหนึ่งต้องมีที่มา เหมือนเวลาผมดูการ์ตูนก็จะอยากรู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังตัวการ์ตูนคืออะไร บางอย่างอาจจะไม่ได้โผล่มาในเรื่องชัดเจนมาก แต่ว่าก็ต้องมี ซึ่งผมรู้สึกว่าตัวละครถ้ามันมี มันจะดูมีรายละเอียดที่มากขึ้น แล้วน่าจะทําให้คนดูรู้สึกถึงการมีอยู่ของเปปเปอร์จริง ๆ มากขึ้น ผมก็จะหนักไปทางการทําการบ้านมาก ๆ ครับ

SUM UP : ทีนี้อยากรู้ว่าระยะเวลาที่ถ่ายซีรีส์กันเห็นว่าเกือบ 6 เดือนเลยที่ต้องมาเจอกันเกือบทุกวัน มีอะไรสนุก ๆ มันส์ ๆ เล่าให้เราฟังบ้างมั๊ย
วิลเลี่ยม : สนุกมันส์ ๆ เหรอครับ (ทำท่านึก)
เอส : เยอะเลย เยอะจนเลือกไม่ถูกเลย
วิลเลี่ยม : งั้นเราต้องเลือกแล้วล่ะ นี่ละกัน
แปะมือไปที่ขาพี่เอส 1 แปะ แล้วหันไปหาพี่นัทก่อนบอกว่า… “เราเห็นด้วยกัน”
วิลเลี่ยมหันกลับมาเล่าต่อ
ซีนที่เล่นซูโม่ ตอนนั้นเรากำลังพักอยู่หลังกล้อง ผมกับพี่นัทก็หันไปคุยกัน แล้วรู้สึกเหมือนมีอะไรผ่านหน้าก็เห็นว่าเป็นพี่เอสวิ่งมา แต่เขาวิ่ง ๆ มาปุ๊บแล้วอยู่ดี ๆ เขาก็หายไปเลย ผมก็ … เค้าหายไปไหน???
นัท : โดนต้นไม้ดึง
วิลเลี่ยม : โดนต้นไม้ดึง พูดให้ฟังมันไม่ตลก แต่อยากเห็นของจริง คือคนที่กำลังวิ่งอยู่…
นัท : แล้วก็หายไป
วิลเลี่ยม : แล้วก็กลับขึ้นมาแบบยิ้ม
ตุ้ย : เขาแค่ตกหลุมแบบในมาริโอ้อ่ะ
นัท : ใช่
วิลเลี่ยม : แล้วยิ้มขืน ๆ ทําตัวไม่ถูก
นัท : แล้วก็วิ่งต่อ แล้วก็ได้มาหนึ่งแผล
วิลเลี่ยม : ซึ่งตอนแรกผมคิดว่าไม่มีอะไร เพราะว่าผมเห็นเขายิ้ม แต่พอไปถ่ายเสร็จแล้วไปดูเขา เห็นมีเลือดมีอะไรด้วย
ตอนนี้คนที่ถูกพูดถึงนั่งยิ้มฟังน้อง ๆ เล่า แล้วหงายแผลตรงข้อมือชี้ให้คนข้าง ๆ ดูวิลเลี่ยม : นี่แผลเป็น แล้วก็มีเลือดตรงเข่า

เอส : คือวันนั้นไม่ได้เข้าซีน แล้วน้อง ๆ 5 คนก็เข้ากันอยู่ แต่ก็อยากเดินไปดู แล้วพอเดินไปดู ไปด้านหลังโอเปอร์เรเตอร์ ก็รู้สึกว่าร้อน ก็เลยจะเดินกลับเต็นท์ สรุปจังหวะพอผมจะเดินกลับเต็นท์ เขาเทปสปีด เราต้องสปีดแล้ว ซวยแล้ว ๆ ก็เลยวิ่ง เพราะว่าทางที่กล้องถ่ายมันคือทางเดินกลับไปเต็นท์ แล้วเขาก็ถ่ายมามุมนี้ ผมก็วิ่งแล้วมันลื่นหินตรงนั้น มันลื่นมากเพราะใกล้ ๆ ลำธารเล็ก ๆ ผมก็ลื่น ลื่นแล้วก็ลงไปผลุบ แล้วผมก็แบบเงยหน้าขึ้นมามองซ้ายทีขวาที แล้วหันมาอีกที คือทุกคนในหน้าเซ็ทกำลังมองมาที่ผม ผมก็เลย…ยิ้ม แล้วก็ไป
ตอนนั้นยังไม่รู้ตัวว่าเลือดออกเยอะ ก็คือวิ่งกลับไปที่เต็นท์ ดูอีกทีนี่ก็แผล นั่นก็แผล เลยให้ทีมพยาบาลมาทำแผลให้คือตลกมาก ตอนนั้นคือไม่รู้ตัวเลยว่าเจ็บ รู้สึกว่าชา ๆ แต่ว่าเขิน ๆ เพราะว่าคนทั้งกองมองมาที่เรา

SUM UP : เลโก้ล่ะ มีเรื่องเล่าให้ฟังมั้ย
เลโก้ : ชอบวันที่ปิดคิวตัวละครเปปเปอร์ ดีแลน แล้วก็นาโน เป็นคิวเกือบสุดท้าย คิวที่ 39 ได้
ตุ้ย : คิวก่อนสุดท้ายปะ
เลโก้ : ก่อนสุดท้ายเลย เป็นคิวที่ Energetic มากทุกคน แบบดีดสุด ๆ แม้กระทั่งทีมงาน แบบว่าเร็ว ๆ เอ้า เร็ว ๆ เพราะว่าหลังจากจบซีนถ่ายวันนั้น เขาจะมีการจับสลาก มีการลงเงินให้ทีมงานจับสลากกัน เขาเลยบอกว่ารีบถ่าย ๆ พี่มีจับสลากต่อ เดี๋ยวบุญพี่หมด
แล้วที่ตลกคือ ตอนถ่ายซีนสุดท้ายอยู่ พี่ผู้ช่วยผู้กํากับเขาบอกว่า “น้อง ๆ เร็วนะ เนี่ยซีนสุดท้ายแล้ว จะได้กลับ ๆ กัน” พอมันเป็นซีนสุดท้ายของพวกเรา พี่ตุ้ยก็เลยดึงเช็ง ทําไงดี ไปตรงไหนดี พี่ผู้ช่วยผู้กำกับก็เลยบอก “อีตุ้ย”
ตุ้ย : เหมือนโดนด่า (หัวเราะ)เลโก้ : พี่ตุ้ยเขาจะชอบการที่ได้รับ Energy บวก ๆ จากคําที่เสียงดัง รู้สึกกระตุกหัวใจดี กระตุ้นหัวใจเลือดสูบฉีด


The Rhythm of Us: ดนตรี มิตรภาพ จังหวะที่ลงตัว
SUM UP : ตามหัวข้อเลย ดนตรีกับมิตรภาพของทุกคนคืออะไร


วิลเลี่ยม : ผมรู้สึกว่าผมชอบมิตรภาพของวง MARS รู้สึกว่าดนตรีทําให้เรารู้จักใครหลาย ๆ คนมากขึ้น เช่นถ้าทุกคนเห็นในเรื่องก็คือ เธมกับดีแลนจะเป็นคนที่ทําเพลงด้วยกันมา สู้ด้วยกันมา แล้วก็ทําให้เราสนิทกันมากขึ้น ตอนแรกเราจะไม่สนิทกัน พอเรามีความชอบเหมือนกัน เราทําเพลงเหมือนกัน แล้วเรามาอยู่ตรงนี้บ่อย ๆ จนเรารู้ว่าดีแลนเป็นคนยังไง ไม่ว่าจะในช่วงแรกซีนที่เห็นว่าดีแลนมาทีหลัง แล้วก็ทุกคนนอนอยู่ในช่วงฟ้าผ่า ก็คือทุกคนยังไม่รู้ว่าจริง ๆ ดีแลนเป็นคนยังไง แต่ผมรู้ จะรู้อยู่คนเดียวว่า ดีแลนจริง ๆ มันมีอะไรมากกว่านั้นที่ทุกคนจะไม่รู้นะ ซึ่งผมรู้สึกว่าดนตรีมันคือในการนําพาให้เรามารู้จักมากขึ้น

เอส : ผมเป็นคนที่ชอบฟังเพลงอยู่แล้ว แค่ไม่ได้ฝึกด้านนี้มาตั้งแต่เด็ก แล้วโฟกัสที่เรื่องของกีฬาเป็นหลัก แต่พอเรามาเล่นเรื่องซีรีส์เรื่องนี้คาแรกเตอร์ของผมไม่ได้เกี่ยวกับนักดนตรีแต่มาเกี่ยวข้องกับนักดนตรี พอมาในชีวิตจริงก็จำเป็นต้องฝึกร้องเพลง ฝึกเต้นเยอะขึ้น ก็ได้มาสนิทกับน้อง ๆ มากขึ้น ได้แชร์เทคนิค ได้แชร์อะไรดี ๆ ผมว่ามันเป็นความรู้สึกที่ดี ๆ กับตัวผมมากเลยครับ


เลโก้ : เห็นด้วยกับพี่วิลเลี่ยมมาก ดนตรีพาเราให้มารู้จักมิตรภาพในรูปแบบหนึ่งจริง ๆ เหมือนเป็นช่องกว้าง ๆ ที่จําแนกคนหลาย ๆ คนในโลกนี้ ใครที่มาทางสายนี้บ้าง ใครที่มาตรงนี้บ้าง แต่อย่างตัวละครนาโนวง MARS เขาจะมาทางดนตรีก็คือการเต้น ดนตรีทําให้เขารู้สึกว่าอยากขยับร่างกาย ทําให้เขารู้สึกว่าอยากจะโดดเด้ง อยากจะแบบเดินไปไหนมา ซึ่งเหมือนตัวน้องนาโนเขาจะรู้สึกว่าเขาทําได้ดีตรงนี้ แล้วเขาก็ได้รับการชื่นชมจากตรงนี้มาโดยตลอด
สิ่งที่ทําให้เขาออดิชันมาและติดอยู่ในวันเนอร์เอนเตอร์เทนเมนต์ แล้วก็ได้มาอยู่วง MARS ก็คืออยู่เพื่อมาเติมเต็มพื้นที่ มาเติมเต็มให้กับวง ให้ดูมีอะไรมากขึ้น ทําให้นาโนจะลิงก์กับการเต้นมาก แล้วก็รู้สึกมั่นใจกับการเต้นมาก ๆ แต่คราวนี้พอมาอยู่ในวง นาโนจะไม่ได้เก่งอย่างอื่น เล่นดนตรีก็อาจจะยังไม่เป็น ร้องเพลงอาจจะไม่ได้เก่งมากเหมือนกัน
สิ่งที่ทําให้นาโนมีแสง มีสปอตไลต์อยู่ในวงก็คือการเต้น ซึ่งในมุมมองคนนอกที่มองเข้ามาก็มีความเชื่อมโยงกับเลโก้เหมือนกัน เพราะผมก็เข้ามาในวงการนี้ผ่านการเต้นเหมือนกัน แต่ว่าก็ขวนขวายที่จะเรียนรู้ให้ตัวเองเหมาะสมกับคําว่าเป็นศิลปินด้วย ผมก็เติมเต็มในสิ่งที่ตัวเองขาดหายที่รู้สึกว่าเรายังอยากที่จะมีเหมือนเพื่อน ๆ ในวงนี้ อยากจะมีสกิลการร้องเพลงที่ดี อยากจะพอเล่นดนตรีได้ เพราะเราก็หลงใหลในดนตรีจริง ๆ และเราก็รู้สึกว่าดนตรีทําให้ชีวิตเรามีขึ้นมีลง มันสามารถวาดกราฟผ่านเพลงได้ มัน relate กับความหมายของคำว่าชีวิตได้เป็นอย่างดี

นัท : แน่นอนครับ ดนตรีทำให้เรามาเป็นเพื่อนกัน ไม่ว่าจะเป็นในซีรีส์หรือชีวิตจริง แล้วอีกอย่างผมว่าดนตรีเป็นเหมือนเครื่องมือเครื่องที่ใช้สื่อสาร หรือว่าใช้ในการผ่อนคลาย เพราะว่าผมก็เป็นคนหนี่งที่ฟังเพลงเยอะเหมือนกัน ชอบฟังเพลง อย่างผมเวลาอ่านหนังสือ หรือว่านั่งเฉย ๆ ชิล ๆ หรือเวลาขับรถก็จะต้องมีเพลงฟังด้วย มันทําให้รู้สึกว่าเราโฟกัสในสิ่งที่เรากําลังทําอยู่ได้ดีมากขึ้น แล้วก็อย่างที่ผมบอก เพลงเหมือนเป็นเครื่องมือสื่อสาร เหมือนดนตรีที่มีหลายแนว อย่างสมมติกําลังเศร้าอยู่ แล้วเราฟังเพลงที่มัน happy ก็ทําให้เรามีความสุขมากขึ้นมาได้ ไม่ดีปดาวน์ไปกับสิ่งที่เรากําลังรู้สึก

ฮง : ในเรื่องดีแลนจะเล่นเป็นเกือบทุกเครื่องเลย แต่ภาพของชีวิตจริงผมก็เล่นเป็นทุกอย่าง ตอนเด็ก ๆ เคยเล่นเปียโนได้เป็นสิ่งที่ครอบครัวคนจีนต้องการให้ลูกอายุ 7 ขวบเล่นดนตรีให้ได้สักอย่างหนึ่ง เขาเลยส่งผมไปเรียน แต่ว่าตอนนี้จำอะไรไม่ได้แล้วครับ (หัวเราะ)
แต่ดนตรีก็ทําให้ผมมีชีวิตชีวามากขึ้น พอได้รู้จักกับเพลงหรือว่าดนตรีไปมากขึ้นก็ทําให้ผมรู้สึกว่าผมมี topic คุยกับเพื่อน ได้เจอแบบสังคมมากขึ้น อย่างที่พี่วิลเลี่ยม เลโก้บอกว่า ดนตรีทําให้เราเจอคนที่ชอบเหมือนกัน หรือว่าอาจจะไม่ต้องชอบเหมือนกันก็ได้ แต่ว่ามีอะไรที่คล้ายกัน มาแชร์กัน อีกอย่างหนึ่งที่ว่าดีมาก ๆ ที่ผมรู้สึกว่าอาจจะขาดไม่ได้ ก็คือผมฟังเพลงในระดับที่ลึกขึ้น ไม่ได้ฟังผ่าน ๆ เหมือนสมัยก่อน


ตุ้ย : ผมว่าดนตรีมันก็เป็นเหมือนวิญญาณ เป็นเหมือนเรื่องราวเรื่องหนึ่ง ซึ่งเหมือนบางอย่างที่เราพูดถึงตัวเอง บางทีเราฟังเพลงเราอาจจะลืมไปเลยว่า ตอนนี้เรากําลังนั่งอยู่บนรถไฟฟ้า บางทีเราอาจจะนั่งฟังเพลงจนเลยป้ายก็มี ผมว่าเพลงมันก็จะมีความพิเศษในแบบของมัน คือแต่ละอย่างผมเชื่อว่ามันจะมี magic ในแบบของมัน เหมือนกับการเล่นกีฬา เหมือนการเต้น การร้อง ทุกอย่างก็คือจะมีเสน่ห์ในแบบของมัน มีเพื่อนที่ชอบเหมือนกัน ผมว่าดนตรีเป็นอย่างหนึ่งที่พอผมเข้าไปอยู่ในนั้นแล้วทำให้มีความสุขมาก ๆ ครับ
INSPIRATION
ตุ้ย : ตอนเด็ก ๆ ที่โตขึ้นมานิดหนึ่งประมาณ ม.ต้น ตอนนั้นชอบร้องเพลง แต่ว่ายังรู้สึกยังไม่อยากร้องมาก รู้สึกว่าชอบการสายศิลปะ รู้สึกว่าเราชอบทํากราฟิก เราชอบตัดต่อ แล้วผมก็ชอบผลงานอาร์ตของศิลปินคนหนึ่งชื่อว่า Mister doodle เป็นงานวาดลายเส้นกลม ๆ ยุ่ง ๆ
ฮง : ตัวการ์ตูนที่เขียนต่อ ๆ กันเรื่อย ๆ ตุ้ย : ใช่ มันเป็นแบบเส้นเดียวแล้วก็ต่อไปเรื่อย ๆ เป็นภาพ ผมรู้สึกชอบเขามาก รู้สึกว่าเราดูรูปแล้วอิน บางทีเราแค่ดูรูปนิ่ง ๆ แล้วเราก็น้ำตาไหลแล้ว รู้สึกว่าเขาเจ๋งมากในการแบบทําอย่างนั้นได้ พอโตขึ้นมาอีกนิดมารู้จักวง GOT 7 เราก็เลยรู้สึกว่า เฮ้ย!!! เราชอบร้องเพลง แล้วเวลาที่เต้นไปด้วยมันดูมีเสน่ห์มาก ซึ่งผมว่า 2 อย่างที่ผมชอบมีสิ่งเหมือนกันก็คือการส่งต่อ message ในสิ่งที่เราต้องการไปให้คนอื่นรับรู้เหมือนกัน เหมือนเวลาที่เราร้องเพลงเศร้า แล้วคนฟังรู้สึกเศร้าไปด้วย หรือว่าเวลาเราเต้นเพลงมันส์ ๆ แล้วคนดูก็รู้สึกสนุกไปด้วย

ฮง : Inspiration ของผมนะครับ ก็คือตัวผมเองเนี่ยแหละ เพราะว่าจริง ๆ ผมเป็นคนยอมแพ้ง่าย แต่พอยอมแพ้ไปแล้ว กลับมานั่งดูอีกที ผมก็ทําได้นี่หว่า มีหลาย ๆ เรื่องในชีวิตเลยที่ผมยอมแพ้ แต่ผมก็จะกลับไปในเรื่องที่ผมยอมแพ้ทุกครั้ง ลองมันอีกที ทำมันอีกที แล้วทีนี้ผมก็ทำได้ เฮ้ย!!! ผมทำได้นี่หว่า ผมขอบคุณตัวเองที่ยังซื่อสัตย์กับตัวเอง
นัท : Inspiration ของผม ถ้าพูดถึงเรื่องการที่มาเป็นไอดอล ผมว่าน่าจะเป็นวง BTS เพราะว่าเป็นวงไอดอลเกาหลีที่ทําให้ผมเริ่มเรียนรู้การเต้น ผมเริ่มเต้นจากตรงนั้น แล้วก็ประมาณม.ปลาย ก็ได้ฝึกเต้นคัฟเวอร์แดนซ์ทีมกับเพื่อน BTS ทําให้ผมรู้สึกอยากลอง perform บนเวที อยากเห็นตัวเองบนเวที จนสุดท้ายก็ได้มาลองออดิชันกับ Project Alpha แล้วก็เดบิวต์เป็นวง LYKN 5 คนเนี่ย แล้วก็ได้มีคอนเสิร์ตเป็นของตัวเองก็รู้สึกว่าดีใจที่วันนั้นผมได้ลองไปแข่งเต้นดู ไปฝึกเต้นกับเพื่อนดู แล้วก็รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้อยู่บนเวที แล้วก็ถ้าพูดถึง Inspiration อีกอย่างหนึ่ง ผมว่าน่าจะเป็นตัวผมเองในอนาคตด้วย เพราะว่าผมอยากให้ตัวของผมในอนาคตมองผมในตอนนี้แล้วรู้สึกขอบคุณนะที่ทําสิ่งนี้เพื่อให้ตัวเราเป็น better version
เลโก้ : Inspiration ของเลโก้ก็มาจากตัวเองเหมือนกัน แล้วอีกส่วนหนึ่งก็มาจากความสำเร็จของคนมากมายในโซเชียลที่เป็นแรงผลักดันให้เลโก้เป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ตัวเองชอบที่สุด
เลโก้ได้เรียนรู้ถึงการเลือกการหยิบส่วนที่ดี จากตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง มารวมกัน มาปั้นเป็นเลโก้ที่ตัวเองพอใจ ถ้าไอดอลเลโก้จะชอบพี่แทยง NCT เขาเป็นคนที่แทบจะมีทุกตำแหน่งในวงเลยเป็นทั้ง Leader เป็นทั้ง Main rap เป็นทั้ง Main dance เป็นทั้ง Vocal ก็ได้ เป็นทั้ง Lead vocal ได้
เขาเป็น Physical group เขาสามารถเป็น Center ได้โดยที่เขารู้ว่าเขาจะแบ่งเบาภาระยังไง แล้วรวมถึงที่เขามองเห็นภาพวงเป็นยังไง แล้วเขานำพาความเป็นวงยังไง อยากที่จะมีวงอย่างนี้ อยากที่จะพาวงไปอย่างนั้นให้ได้บ้าง ก็รู้สึกว่าเราหยิบความตั้งใจของเขามา เอามาปรับใช้กับตัวเอง
ชอบพี่ลิซ่าตรงที่พี่เขาจะชอบเรียน represent ความเป็นตัวเองว่าตัวเองมีจุดยืนยังไง ภูมิหลังเป็นยังไง การเดินทางของเขามันยากมาก ยากมากเเค่ไหนเขาจะให้ความสําคัญกับตรงนี้มาก ๆ ก็อยากที่จะเป็นอย่างนั้น อยากจะเป็นดาราที่ down-to-earth มาก ๆ อยากจะเป็นคนที่ทุกคนไม่รู้สึกห่างเหิน เป็นกันเองได้โดยให้เกียรติกัน นี่คือสิ่งที่เลโก้พยายามหยิบใช้มาตลอด
เพราะฉะนั้นมันจะไม่แปลกอะไรที่ทุกคนบอกว่าเลโก้มี mindset ที่เหมือนพี่คนนี้เลย ทําไมเลโก้เหมือนพี่คนนี้เลย ก็ยอมรับ แต่ท้ายที่สุด ทุกคนจะมองย้อนกลับมาว่าที่ชอบเลโก้ เพราะเลโก้เป็นยังไง เพราะตัวเราข้างในตัดสินใจให้เป็นอย่างนี้ เลยรู้สึกว่า Inspiration ของเลโก้มาจากตัวเองครับ

วิลเลี่ยม : ผมค่อนข้างเป็นคนหลงทางคนหนึ่ง ผมเป็นคนคนหนึ่งที่เป็นเด็กที่เรียนวิชาการ แล้วเรียนไม่ค่อยได้เรื่อง เราไม่ชอบเรียนด้วย ซึ่งพ่อก็หาวิธีให้ผมไปทํากิจกรรมแทน ซึ่งในช่วงแรกก็ให้เล่นดนตรี แล้วผมก็ไม่เอา ตอนแรกในช่วงประมาณอนุบาล 3 พอมาประมาณป. 3 ผมเริ่มเล่นเทควันโดแล้วก็เหมือนทางโค้ชเขาเห็นศักยภาพเราในการเป็นนักกีฬา ให้ไปแข่ง ผมก็ เออ!!! เอาดิจะให้ทําอะไรก็ทํา เราก็ลองดู ตอนนั้นเรายังไม่รู้ว่าเราชอบอะไร จนถึงช่วงมัธยม เราเริ่มรู้สึกว่ามันทรมานทุกครั้งที่ต้องไปแข่ง ด้วยความกดดันจากคู่แข่งด้วย จากโค้ช จากคนรอบข้างที่บอกว่าเราต้องได้เหรียญทองนะ ต้องได้เป็นตัวแทนจังหวัดนะ อะไรพวกนี้เรารู้สึกกดดันมาก จนเรารู้สึกเริ่มไม่ชอบ
ตอนนั้นก็มาคาบเกี่ยวช่วงประมาณ ม. 1 ผมเริ่มของพ่อเรียนร้องเพลง เพราะว่าเราเห็นรายการ The Mask Singer หน้ากากทุเรียน เราเคยเห็นคนร้องเพลงมาเยอะมาก แต่เราไม่เคยเจอใครที่ทำให้เราอยากร้องเพลงได้เหมือนหน้ากากทุเรียน เลยทำให้ผมไปขอพ่อเรียนร้องเพลง พอได้เรียนทำให้เรามีแพสชันกับตรงนี้เยอะมาก จนเรียกว่าน่ากลัว เรากลับมาจากโรงเรียน ทําการบ้านเสร็จ เราก็ซ้อมร้องเพลง เราลองร้องมาตลอดทุกวัน ตะโกนแหกปาก คอแหกเยอะมาก จนคอเป็นเลือด ผมพยายามอย่างมากในตอนนั้น เราเริ่มรู้ว่าเราชอบร้องเพลงจริง ๆ

เอส : ผมมองว่าสำคัญที่สุดคือทำหน้าที่ของเราให้สำเร็จ อย่างตอนที่ว่ายน้ำ เราว่ายน้ำ เพราะว่าแม่ให้ไปเรียน พอเรารู้สึกว่ามีแววพอที่จะให้เราไปแข่ง ก็แข่งไปเรื่อย ๆ เราก็แค่ทําหน้าที่ก็คือ ไปซ้อม แล้วซ้อม ๆ ๆ พอลงแข่งชนะก็ได้ไปแข่งต่างประเทศ มันก็เหมือนเราทำหน้าที่ของเราไปเรื่อย ๆ อย่างมีเป้าหมาย มีตัวเองเป็นแรงที่จะ drive ในการใช้ชีวิต อยากทำตัวเองให้ดีขึ้น พัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น คนที่มาซัปพอร์ตเราจะไม่ผิดหวัง

เวลาว่าง วันว่าง ๆ ทำอะไรกัน


ตุ้ย : เวลาว่างผมชอบบีตบ็อกซ์ ถ้าตัดเรื่องดนตรีจากตัวเองจริง ๆ ช่วงนี้ผมชอบดูหนัง ก่อนหน้านี้ก็ดูหนัง แต่เหมือนช่วงนี้ดูแบบลึกขึ้น ก่อนที่จะย้ายมาเรียนเกี่ยวกับฟิล์มในมหา’ลัยก็รู้สึกว่าหนังแต่ละเรื่องมันมีสิ่งที่อยากสื่อออกไปที่ไม่เหมือนกัน 10 คนดูหนังเรื่องเดียวกันก็บอกได้ไม่เหมือนกันว่ารู้สึกอะไรออกมา ผมเลยรู้สึกว่าการทำหนังก็เจ๋งดี
SUM UP : แสดงว่าอยากเป็นผู้กํากับ
ตุ้ย : ก็น่าจะอยากเป็นนะครับ ตอนนี้ใช้คำว่าอยากลองทําดีกว่า อาจจะยังไม่รู้นะว่าทําแล้วจะชอบไหม แต่ว่าก็อยากลองทําดู อาจจะไม่ใช่กำกับหนัง แต่กํากับเอ็มวี กํากับหนังสั้น กํากับอะไรก็ได้ อยากลองทําดูก่อน
SUM UP : มีหนังที่ชอบไหมตุ้ย : หนังที่ชอบที่สุดเป็นหนังชื่อโฮมสเตย์ครับ กำกับโดยพี่โอ๋ ภาคภูมิ เป็นหนังที่นักแสดงนำเป็นพี่เจมส์กับพี่เฌอปราง ไม่สปอยล์แล้วกัน แต่ว่าเป็นหนังที่ถ้าดูครั้งแรกจะเดาไม่ออกแน่นอนว่าจะจบยังไง แล้วก็เป็นหนังทริลเลอร์ที่มีความซึ้งอยู่ในนั้น แล้วก็เล่ามุมมองความรักได้เจ๋งมาก ชอบมาก


ฮง : ช่วงนี้ผมชอบเล่นเกมครับ ผมจะมีเกมหนึ่งที่เล่นตลอดตั้งแต่ต้นมัธยมจนถึงตอนนี้ก็ยังเล่นอยู่ ผมเล่น DotA2 ครับ ก็เล่นมา 3,500 ชั่วโมงแล้ว มันหนักอยู่ ผมไม่ค่อยเล่นเกมใหม่ ๆ เท่าไหร่ พอมาเล่นเกมนี้มันติด เอาจริง ๆ มันฝึกหลายอย่างเหมือนกัน เพราะว่าในเกมมีคอมมูนิตี้ที่ค่อนข้าง toxic ระดับหนึ่ง ซึ่งมันค่อนข้างฝึก mental health ของผมหนักมาก ๆ ทําให้ผมรู้สึกว่าเวลาผมเจออะไรยาก ๆ มันสบายมาก เมื่อเทียบกับต้องไปเจอกับคนในเกมที่ต้องมานั่งด่าผมเวลาเล่นไม่ดี ฝึกสติตัวเองไปในตัว รู้สึกว่าคลายเครียดดี หรืออาจจะเครียดมากกว่าเดิม (หัวเราะ) เขาบอกว่าเป็นเกมที่ไม่ค่อยเหมาะสําหรับผู้เล่นใหม่ เพราะว่าดีเทลเยอะมาก คนเลยเล่นเกมอื่นกัน แต่ว่าเป็นเกมที่ผมรักครับ ผมจะมีเพื่อนที่เล่นด้วยกันอยู่ 5 คนรวมตัวผมด้วย
ตุ้ย : ก็หนึ่งทีมมันมี 5 คนฮง : ใช่ มี 5 คนแล้วก็พอดีเป๊ะ!!! เพราะมันไม่มีใครเล่นเกมนี้แล้วครับ ก็จะมีคําพูดติดปากตลอดว่า “โอ๊ย เกมอะไรเนี่ยะ ลบทิ้ง! พรุ่งนี้โหลดใหม่เจอกัน” (หัวเราะ) มันจะเป็นอย่างนี้ตลอดครับ เพราะว่ามันเลิกไม่ได้ ผมก็ไม่รู้ทําไม


นัท : เวลาว่าง ผมชอบดูยูทูบเกี่ยวกับไปเที่ยว หรือว่าทําอาหาร ความหวังผมก็คืออยากไปเที่ยวหลาย ๆ ที่ครับ ไปต่างประเทศ ไป explore โลกว่ามันเป็นยังไง ธรรมชาติมันสวยแค่ไหน เพราะเห็นตาม TikTok แล้วมันสวยมาก แล้วอยากเอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้นก็เลยรู้สึกว่าตัวเองชอบดูอะไรแบบนั้น แล้วก็อีกอย่างหนึ่งก็คืออยากลองอาหารหลาย ๆ แบบ เพราะช่วงนี้ก็ดูคนทําอาหาร ดูเขาพาไปกินตามต่างประเทศ เลยรู้สึกว่าตัวเองอยากไปลอง ผมรู้สึกว่าผมน่าจะเป็นคนที่ชอบลองอะไรใหม่ ๆ ทําอะไรใหม่ครับ ก็เลยชอบดูอะไรแบบนั้น
วิลเลี่ยม : ผมชอบทําอาหาร แต่ว่าผมจะต้องสบายใจจริง ๆ ครับ ถ้าเราโดนสั่งให้ทํา หรือว่าเราอยากจะทําแค่นิด ๆ หน่อย ๆ คือจะไม่ทํา ควรจะต้องแบบรู้สึกว่าวันนั้นจะต้องมีเรื่องอะไรที่ made my day มาก ๆ
ตุ้ย : รอฟีล วิลเลี่ยม : ใครก็ต้องมีฟีล อาหารเป็นอะไรที่เราต้องเรียนรู้กับมันเยอะ ต้องทำยังไงให้อร่อย ผมเคยลองทำอาหารมาเยอะมากนะ ทำไมยังเหนียว ทำไมไม่อร่อยเลย ทำไมอาหารยังมีกลิ่นคาว เราลองมาเยอะมากจริง ๆ จนพอเราเรียนรู้วิธีการปรับจากคนอื่น เราลองสูตรของเราดู เราลองในแบบที่เราไปหามาดู ก็ลองทําไปเรื่อย ๆ จนโอเคเราชอบของเราที่รสชาติแบบนี้ ถ้าวันไหนผมเครียด ผมจะทำอาหารไม่อร่อย แต่วันไหนที่เรามีความสุขมาก ทําแล้วก็อร่อย


เลโก้ : ของเลโก้อยากทำอะไรเยอะมากเลยครับ (หัวเราะ) นอกเหนือจากทำงานตรงนี้ เลโก้ก็ยังต้องเรียนอยู่ครับ กําลังจะเตรียมตัวเข้าไปหาสังคมใหม่ ๆ สังคมมหา’ลัย ก็เตรียมตัวในเรื่องของการเรียน แล้วก็มีไปเที่ยว ไปทําอย่างอื่นเยอะแยะเลยครับ ไปจัดกระดูก ไปซื้อเครื่องเกมมาเล่นแล้วก็มีเรียนหลายอย่างมากเลย ไปเล่นปีนเขา เล่นแทมบูรีน ลงเรียนทําอาหารด้วยเหมือนกันครับ
มันจะอิงจากซีรีส์นิดหนึ่ง เลโก้ก็อยากหาอะไรที่หลากหลายได้ลองทํา แต่ก็ยังยืนยันว่ายังรักตรงนี้อยู่ แต่อีกมุมหนึ่งเลยคือเลโก้อยากเข้าใจคนที่ทํางานหลาย ๆ อย่าง อยากเข้าใจคนเป็นเชฟ อยากเข้าใจคนไปท่องเที่ยว อยากเข้าใจคนเพราะว่าในมุมของเลโก้ รู้สึกว่าในการประสบความสําเร็จมันมาด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ เลโก้ยังต้องพึ่งหลาย ๆ คนเหมือนกันที่พาเลโก้มาถึงตรงนี้ครับ
เมื่อก่อนนี้อาจจะคิดว่าท้ายที่สุดเราก็ตัวคนเดียวอยู่ดี เราประสบความสําเร็จมันก็อยู่ที่ตัวเรา เราจะเป็นจะตายมันอยู่ที่ตัวเรา แต่มามองเห็นมุมหนึ่ง หนึ่งผลงานที่เลโก้มีทุกวันนี้ได้ เลโก้ต้องใช้ทีมงานเยอะมาก เลโก้ใช้คนหลายร้อยคนมากเพื่อที่จะได้หนึ่งผลงานที่เป็นหน้าเลโก้ ก็เลยอยากจะ appreciate มาก ๆ แล้วก็พยายามที่จะเรียนรู้เขา เข้าใจเขา เข้าใจสังคมมากขึ้น ก็เลยจะพยายามหากิจกรรมที่ให้ตัวเองได้ออกไปสู่สังคมเยอะขึ้นครับผม เพื่อที่จะได้เข้าใจความหมายของชีวิตที่เราเป็นสัตว์สังคมคนหนึ่งครับ


เอส : จริง ๆ ก็ชอบท่องเที่ยว รู้สึกว่าถ้าว่างก็จริง ๆ วันนั้นก็อาจจะเล่นเกมหรือไปถ่ายรูป แต่ว่าถ้าสมมติว่างเยอะ ๆ ก็อาจจะไปเที่ยวต่างประเทศ ผมรู้สึกว่าการไปเที่ยว มันทําให้เราเห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง แล้วทําให้เราได้อยู่กับตัวเองด้วย ได้ไปในสถานที่ที่อยากไปด้วย รู้สึกว่าการไปเที่ยวทําให้เรารู้สึกดีขึ้น แล้วก็ได้เห็นอะไรมากขึ้น


กันและกัน

ตุ้ย : ‘เลโก้’ เป็นคนที่ทําให้ผมรู้สึกว่าการที่ได้เจอคนเก่งมันเป็นยังไง เราชอบพูดว่ามันจะมีคนที่เก่งด้านนี้…ด้านนี้ ซึ่งเราอาจจะเคยเห็น Gordon James Ramsay ทําอาหารเก่ง แต่เราไม่เคยไปยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเห็นเขาทำจริง ๆ แต่แบบคนนี้อ่ะ (ผายมือไปที่เลโก้) เก่งเต้น ตอนแรก ๆ ก็แบบ มันจะเก่งสักแค่ไหนเชียว พี่นัทเขาก็เก่งเต้นเหมือนกันใช่ไหม เจอเลโก้แล้วรู้สึกได้เลยว่า เขาเป็นคนที่เกิดมาเพื่อเต้นจริง ๆ คือเป็นคนที่เต้นเก่งมาก เป็นเรื่องที่สุดยอดมาก รู้เลยว่าเป็นคนที่พัฒนาด้านที่ตัวเองถนัดออกมาได้ถึงกับขีดสุดเลย
‘พี่นัท’ เป็นคนที่แบบว่าโต ผมรู้สึกว่าหลัง ๆ มา ผมเริ่มทําตัวเหมือนพี่นัทเหมือนกัน ผมว่าการแต่งตัวเขาเท่ดี ผมรู้สึกว่าพี่นัทดูเป็นผู้ใหญ่ที่ดูพึ่งพาได้ ดูเป็นพี่แบบเป็นพี่จริง ๆ คือผมเป็นลูกคนเดียว ผมก็จะไม่มีพี่ชายน้องชายพี่สาวน้องสาว ก็จะเหงา ๆ หน่อย แล้วจะมีพี่นัทที่เหมือนเป็นพี่ชายของวง ของผมคนหนึ่งเลยที่ดูพึ่งพาได้ มีอะไรก็ปรึกษา จะได้อะไรดี ๆ กลับมาบ้าง
ส่วน ‘พี่ฮง’ เหมือนเราจะเป็นคนที่ชอบอะไรไม่เหมือนกันนะ แต่ว่าที่จริงก็จะมีอะไรเชื่อมกันตลอด ยิ่งเป็นรูมเมทกัน ชอบเกมเหมือนกันถึงอาจจะไม่ใช่เกมเดียวกัน แต่จะมีอะไรที่เหมือนกัน ชอบการ์ตูน ของเล่นที่ชอบคล้าย ๆ กันก็มีเยอะ อะไรที่ผมรู้จักพี่ฮงก็จะรู้จัก อะไรที่ผมไม่รู้จัก พี่ฮงก็จะไม่รู้จัก
‘วิลเลี่ยม’ นี่ก็คล้าย ๆ เลโก้เลย คือเป็นคนที่ร้องเพลงแบบสุด ๆ เลยครับ ครั้งแรกที่มาเรียนร้องเพลงในรายการก็เจอวิลเลี่ยมแล้ว คนที่มีสกิลด้านนั้นแล้วพัฒนาด้านที่ตัวเองถนัดไปถึงสุดแบบเก่งมาก ๆ คือวิลเลี่ยมเขาร้องเพลงเก่งมากเลยนะ รวมถึงด้านอื่น ๆ ด้วย อันนี้พูดถึงทุกคน เลโก้ด้วย ทุกคนก็ด้วย หมายถึงว่า ทุกคนก็จะมีด้านที่ตัวเองถนัด ซึ่งทุกคนก็จะพัฒนาด้านอื่นด้วย ทุกคนมีอาวุธที่เด็ดออกมา
‘พี่เอส’ ก็เหมือนกัน คือพี่เอสนี่ ผมเคยท้าเขาแข่งว่ายน้ำแล้วทีหนึ่ง ผมยังไม่ทันเอาหน้าลงไปในน้ำเลย พี่เอสถึงแล้ว โผล่ขึ้นมาแล้ว (หัวเราะ) พี่เอสนี่ก็เป็นพี่ชายที่เก่งมาก ๆ ในด้านการแสดง เราก็เคยเห็นพี่เอสแสดงซีรีส์มาก่อน ผลงานมากมายหลากหลายเหลือเกิน จนเรื่องนี้ ด้วยความที่เป็นเรื่องแรกของเราด้วย แล้วเราก็รู้สึกว่าเวลาไปนั่งหน้าจอ เราอยากรู้ว่านักแสดงคนนั้นเขาคิดอะไรอยู่ ซึ่งบางทีเราดูในจอเหมือนเราดูในหนังในโรงหนัง มันก็ได้อีกฟีลหนึ่ง แต่ว่าพอไปดูหน้าเซต เวลาดูพี่เอสหน้าเซตที่ไม่ได้ผ่านเลนส์ มันจะเห็นชัดมากกว่าเดิมว่า “เออ มันเจ๋งมากเลยเนาะ” เราอยากรู้เลยว่าเขาคิดอะไรอยู่ เรารู้สึกนะว่าเขารู้สึกอะไร แต่เราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ผมว่าพี่เอสเป็นคนที่เก่งมาก ๆ ในการส่งความรู้สึกอะไรออกมา แล้วก็เป็นพี่ชายที่น่ารักคนหนึ่ง ถ่ายรูปสวยมาก

ฮง : ผมก็ด้วย เวลาเข้าวงการใหม่ ๆ มันก็จะน่ากลัวหน่อย เพราะไม่รู้ต้องทําตัวยังไง หรือว่าไม่รู้ว่าต้องคุยกับใคร เวลามาเจอรุ่นพี่ในค่าย มักจะเกร็ง ๆ เหมือนกัน แบบว่าผมเป็นผู้น้อย ไม่ค่อยกล้าคุยกับใครเท่าไหร่ เหมือนพี่เขาอาจจะชวนคุย แต่ผมอาจจะคุยไม่เก่ง หรือว่าผมทําให้เขารู้สึกว่า “เอ้ย เด็กคนนี้มันต่อต้านอะไรหรือเปล่า” แต่ก็ดีครับที่ได้มาเจอทุกคนตรงนี้นะครับ มันทําให้ผมมาทํางานก็รู้สึกว่า “เออ ผมเจอพื้นที่ปลอดภัยที่ผมสามารถเป็นตัวเองได้ หรือว่าคุยกับใครก็ได้ อัปเดตชีวิตกับใครก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นตุ้ย พี่เอส วิลเลี่ยม เลโก้ หรือนัท” ผมสามารถคุยแต่ละเรื่องกับทุกคนได้ หรือว่าทําตัวเป็นเด็กต่อหน้าพวกเขาได้ เพราะว่าเขาไม่ได้รู้สึกว่าผมต้องโตเป็นผู้ใหญ่ หรือว่าผมต้องคีฟลุคอะไร ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนที่ไม่ได้มีมาดอะไรขนาดนั้น ผมรู้สึกว่าผมดีใจมาก ๆ ที่ได้เจอกับทุกคนตรงนี้ ทําให้ผมแฮปปี้มากในเวลามาทํางานทุกวันครับ

นัท : ผมว่าผมจะมีมุมที่คล้ายฮงมากเลยครับ ตรงที่ผมจะไม่ค่อยกล้าคุยกับใครเหมือนกันเวลาที่ออกไปทํางาน แล้วก็รู้สึกว่าพอได้ทํางานกับทั้ง 5 คนนี้แล้ว เรารู้สึกว่าตัวเองสบายใจแล้วก็ไม่จําเป็นต้องเกร็ง อยู่ด้วยกันแล้วผมไม่ต้องพูดอะไรก็ได้เพราะเหมือนรู้กันว่าไม่จําเป็นต้องชวนคุยอะไร แต่เวลาผมไปทํางานข้างนอกเจอคนอื่นแล้วรู้สึกว่า “เอ๊ะ หรือเราต้องพูดอะไรกับเขาไหมนะ” หรือเขาจะมองเราว่า “เอ้ย เรามันเด็กหยิ่งหรือเปล่า” แบบที่ฮงพูดเนาะ ผมรู้สึกคล้าย ๆ ฮงเลย แต่ว่าเวลามาทํางานกัน 6 คนอย่างนี้ ก็จะมีอะไรบางอย่างที่ทําให้ผมมีความสุขแล้วก็ลืมเรื่องที่ผมเครียด ๆ ไปได้ แล้วเรารู้สึกขอบคุณมากที่สนุกกันจนปิดกองเธมโป้ มีความสุขมากครับ แล้วก็ดีใจ แล้วก็ขอบคุณทุกคนนะครับ ผมดีใจที่ได้เจอทุกคนครับ ^_^

วิลเลี่ยม : ผมสบายใจที่อยู่กับทุกคนจริง ๆ เพราะว่า 5 คนตรงนี้ เป็นคนที่เก่งมาก ๆ เราเห็นเขาไม่ว่าจะแสดงหรือว่า perform ต่าง ๆ เรารู้สึกว่าเราเห็นความตั้งใจหมดเลย เช่น คนใกล้ตัวนะ…พี่เอส ก็รู้สึกว่าตอนที่ผมเล่นด้วยหรือไม่ได้เล่น รู้สึกว่า ทำไมพี่เขาเก่ง เราเป็นนักแสดงใหม่ เราใหม่กับเรื่องนี้มาก ๆ แล้วตอนนั้นเหมือนผู้กํากับบอกว่าขอสั่งน้ําตาออกข้างนี้ ซึ่งพี่เอสทำออกมาจริง ๆ ผมก็ตกใจว่าทําได้ไงวะ!!! เราสามารถคอนโทรลข้างในร่างกายได้จริง ๆ เหรอ พี่เอสทําได้ อย่างเลโก้เต้นเก่ง อย่างพี่นัทเขาเป็นตัวเองได้แบบดีมาก ๆ ซึ่งพี่ฮงก็เป็นคนที่เป็นตัวเองเหมือนกัน แล้วพี่ตุ้ยเป็นคนที่เพอร์เฟกต์คนหนึ่ง เพราะว่าพี่ตุ้ยเป็นคนที่ร้องเก่ง เต้นเก่ง แล้วก็ perform เก่งมาก ผมรู้สึกมีความสุขแล้วก็สนุกมากเวลาที่ทำงานกับทุกคน

เลโก้ : เลโก้โตมากับพี่สาว เลยจะเป็นคนที่ค่อนข้างละเอียดอ่อนมาก ไม่ค่อยมีเพื่อนเป็นหลักเป็นแหล่งเท่าไหร่ ส่วนใหญ่เพื่อนที่คบอยู่เป็นเพื่อนผู้หญิงหมดเลย พอได้มาอยู่ Project Alpha ก็คือเป็นเพื่อนผู้ชายกลุ่มแรกของเลโก้จริง ๆ ที่ไม่นับรวมกับเพื่อนในห้อง
พอได้อยู่กันมานานมาก ๆ ระหว่างที่อยู่ด้วยกันมา พอมีพี่เอสเข้ามา เลโก้ก็รู้สึกว่าได้เติมเต็มในอีกหนึ่งพาร์ทที่เลโก้ได้เรียนรู้ เพราะมันคือพาร์ทการแสดง อันนี้ก็ถือว่าเป็นประตูบานแรกที่มีคนร่วมเดินทางเพิ่มด้วย
เราเติบโตมาเป็นเลโก้ในวันนี้ได้ก็เพราะเราเรียนรู้จากพี่ ๆ จะมีบางอย่างที่พลิกไปพลิกมาบ้าง มีอะไรที่เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ไลฟ์สไตล์ตรงกันบ้างไม่ตรงกันบ้าง แต่ท้ายที่สุดเลยทําให้เลโก้กลายเป็นคนที่ตัวเองมาก ๆ เลยครับ
ขอบคุณ ‘พี่ตุ้ย’ ที่เป็นเหมือน motivation ในเวอร์ชัน human being เป็นคนที่มีไฟ เป็นคนคอยแอกทีฟ เป็นคนที่ขึ้นชื่อในเรื่องของวินัย คอย alert ให้วงตลอดเวลา เหมือนเป็นสัญญาณเตือน เป็นนาฬิกาปลุก
มี ‘พี่ฮง’ ที่คอย grownth mindset ให้เราได้เรียนรู้มากขึ้น ให้เราได้เข้าใจสังคมมากขึ้น ‘พี่นัท’ ที่เป็นเหมือนคนที่เราได้ทิ้งตัวลงมาบ้าง ได้เป็นเราในเวอร์ชันที่เป็นเราในตอนเด็ก เราสามารถเด็กใส่พี่นัทได้มาก ๆ
มี ‘พี่วิลเลี่ยม’ ที่เป็นเหมือนเพื่อน เป็นเหมือนพี่คนหนึ่งที่คล้าย ๆ พี่สาวผมช่วงหนึ่ง ช่วงตอนอยู่กับวิลเลี่ยมก็จะมีความเหมือนตอนอยู่กับพี่สาวเวลาอายุประมาณ 10-11 ที่ตีกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง แต่ก็ไม่ได้ห่างเหิน มี ‘พี่เอส’ ที่เป็นเหมือนผู้ใหญ่ที่ทําให้เรารู้สึกว่าเราอยากที่จะโตขึ้นบ้าง เราอยากที่จะมีความคิดในรูปแบบพี่เอสบ้าง คือส่วนใหญ่แล้วก็อยู่กันมา 5 คนเนี่ย เราจะเริ่มมาด้วยกัน ตั้งแต่มีพี่เอสเข้ามาทําให้เรารู้สึกว่าเราได้เห็นความหลากหลายมากขึ้น เราได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่างมากขึ้นก็เลยได้เลือกใช้มากขึ้น ทุกวันนี้มันเป็นเหมือนแหล่งเรียนรู้มาก ๆ เลยครับ การได้มาทํางานด้วยกัน

เอส : เป็นการได้มาทํางานกับวงทั้ง 5 คนครั้งแรก ก็รู้สึกว่าเป็นโปรเจกต์ที่เราเข้า GMM TV มาเพราะเรื่องนี้ด้วย เราก็รู้สึกว่า โอเค เรารู้ว่าเราต้องทํางานกับน้อง 5 คน ก็รู้สึกว่าจริง ๆ ความเป็นเรามันห่างไกลจากศิลปินมาก ห่างไกลกับไอดอล ก็รู้สึกว่า เออ!!! ชีวิตเราช่วงปีสองปีผ่านมาเนี่ย เราได้เข้ามาอยู่สนิทกับไอดอล สนิทกับทีป๊อป รู้สึกว่าเป็นอะไรใหม่ ๆ แล้วก็เป็นสิ่งที่ไม่เจอ รู้สึกว่าชีวิตเรามีสีสันมากขึ้น
น้อง ๆ เขามีพลังเยอะมากครับ แล้วก็ยิ่งมาใส่เธมโป้ด้วยกันเอง น้องชอบบอกว่าผมเก่ง แสดงเก่ง โน่นนี้ เราก็รู้สึกว่า “ไม่อะ” คือน้องบอกว่า “เป็นเรื่องแรก แล้วแสดงต้องดูพี่เอส” ผมรู้สึกว่าเราเริ่มไปพร้อมกัน หมายถึงว่าเรื่องนี้ผมก็แสดงเป็นบทนำครั้งแรก หมายความว่าทุกคนมีครั้งแรกเป็นของตัวเองหมด รู้สึกว่าเราเริ่มใหม่ไปพร้อมกันนะ เรียนรู้เติบโตไปพร้อมกันนะ รู้สึกว่าระยะเวลาที่ผ่านมาทําให้ผมรู้จักกับน้องอีก 5 คนอีกเยอะขึ้นมาก ก็รู้สึกดีที่ได้มาทํางานกับทุกคน แล้วก็รู้สึกว่าทําให้เรามีเพื่อนในตึกมากขึ้นครับผม ดีใจที่ได้มาร่วมโปรเจกต์ด้วยกันครับ

บทสนทนาของพวกเราจบลงตรงที่รอยยิ้มของทุกคนที่อยู่ตรงหน้า เรียกได้ว่าเป็นการพูดคุยที่เปลืองรอยยิ้มกันมากทั้งคนที่อยู่หน้ากล้องและหลังกล้อง
“เธมโป้ (ThamePo) Heart That Skips a Beat” เดินทางมาถึง 3 ep. สุดท้ายแล้ว ต้องบอกว่าวีคที่แล้วเขาคิดถึงกันได้ฮ๊อบมากกกกก!!! แต่คืนนี้โลกจะแตกสลายเลยมั้ย การมีอยู่ของวง MARS จะเป็นยังไงกันต่อไป มาช่วยกันลุ้น ^_^
ติดตาม เธมโป้ (ThamePo) Heart That Skips a Beat
ทุกวันศุกร์ เวลา 20:30 น. ทางช่อง GMM25
รับชมย้อนหลังทาง NETFLIX เวลา 21:30 น.
Ost. เธมโป้ (ThamePo) Heart That Skips a Beat – YouTube
Playlist Ost. เธมโป้ (ThamePo) Heart That Skips a Beat By. GMMTV RECORDS