สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, คุณหญิงหน่อย, วันแม่ 2567

หลากบทบาทของคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์

บทบาทแรก คือ การเป็นแม่ ที่พอเป็นแล้วต้องเป็นตลอดชีวิต ถึงตอนนี้ลูก ๆ จะโตกันหมดแล้ว แต่ก็ยังอยู่ในช่วงวัยที่กำลังตัดสินใจ โดยเพราะน้องจินนี่ ลูกคนเล็กที่กำลังจะไปเรียนต่อ เรายังคงเป็น consult ของลูก 

วิธีการเลี้ยงลูกของพี่จะยึดหลักการที่ว่า “ให้เขาคิดเองก่อน” เช่น ถ้าเขาถามว่าไปเรียนที่นั่นดีหรือไม่ หรือไปเรียนที่นี่จะดีกว่าไหม เราจะไม่ตัดสินว่าที่ไหนดีกว่ากัน แต่จะฟังความคิดของเขาก่อน ว่าเขาคิดอย่างไร เราถึงจะค่อย ๆ ไกด์เขา สำหรับน้องจินนี่กำลังตัดสินใจเรื่องการเรียนต่อปริญญาโท เรื่องการเรียนเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากมากสำหรับเขา

สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, คุณหญิงหน่อย, วันแม่ 2567

บทบาทที่สอง  การทำงานเพื่อสังคมกับมูลนิธิไทยพึ่งไทย (สมพล-เรณู เกยุราพันธุ์) ที่นี่ก่อตั้งมา 30 กว่าปีแล้ว ตอนที่เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจ เราทำเรื่องสร้างอาชีพให้กับชุมชน ซึ่งตอนนี้ก็ยังคงทำอยู่ แม้ว่าเราจะทำโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค แต่เราก็เห็นปัญหาหลายอย่าง เช่น โรคหัวใจที่ต้องได้รับการผ่าตัด อีกโรคก็คือต้อกระจกที่เกิดกับผู้สูงอายุที่ตาฝ้าฟาง ปัญหานี้ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ทำให้เกษตรกรที่สูงอายุตาบอดกันเยอะ ซึ่งจริง ๆ แล้วโรคต้อกระจกจะมีวิธีการรักษาที่ง่ายมากใช้เวลาเพียง 20 นาทีด้วยการลอกต้อ โดยมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณไม่เกิน 2,000 บาท ต้นทุนประมาณนี้ 

ในวันที่เราเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พอเราพบเห็นปัญหาเหล่านี้ ประกอบกับเรามีมูลนิธิฯ อยู่แล้วจึงจัดทำโครงการถวายเป็นพระราชกุศลล้นเกล้ารัชกาลที่ 9 กับสมเด็จพระราชินีนาถในรัชกาลที่ 9 ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 โครงการนี้ก็ยังคงดำเนินอยู่

สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, คุณหญิงหน่อย, วันแม่ 2567

วันนี้ (25 มิถุนายน 2567) เพิ่งไปเปิดโครงการการคัดกรองโรคหัวใจด้วยเครื่องตรวจ EKG ( เครื่องตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจของหัวใจผู้ป่วย)  ในชุมชนซึ่งมีชาวชุมชนอยู่ประมาณ 100 คน มีเพียงแค่ 10% เท่านั้นที่เคยตรวจวัดคลื่นหัวใจ ทำให้เมื่อเกิดปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ผู้ป่วยจะมารู้ตัวอีกทีก็ตอนเป็นหนักแล้ว ครอบครัวต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายไม่น้อยเลยทีเดียว สำหรับโครงการนี้เราส่งไปคัดกรอง ถ้าใครเจอปัญหาจะได้ส่งรักษาทัน 

อีกบทบาทหนึ่ง ยังเป็น “หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย” ค่ะ ซึ่งพี่ก็เพิ่งมาเริ่มสร้างพรรคในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาด้วยสิ่งที่เราต้องการบอกว่า “เราคิดว่าเรายังอยากรักษาอุดมการณ์ ตัวตนของเราที่เราต้องการที่จะรักษาประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เคารพสิทธิประชาชน”

พี่ว่าพี่เป็นสะพานเชื่อม เป็นรอยต่อระหว่างคนรุ่นใหญ่กับคนรุ่นใหม่ พี่พยายามที่จะเรียนรู้ความคิดของคนรุ่นใหม่ พี่จะเข้าคอร์สใหม่ ๆ เรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างตอนนี้ก็กำลังศึกษาเรื่องของ AI 

ชีวิตทางการเมือง เริ่มต้นจาก “พรรคพลังธรรม”

‘พรรคพลังธรรม’ ตั้งขึ้นโดยพลตรีจำลอง ศรีเมือง ซึ่งท่านยึดมั่นในหลักคุณธรรมและได้จัดตั้งเป็นพรรคการเมืองขึ้น พี่เป็นนักการเมืองครั้งแรกตอนปี 2535 อายุประมาณ 29 -30 ก่อนที่จะมาสมัคร สส. พี่เข้าอบรมในหลักสูตรที่เรียกว่าวิศวกรทางการเมือง ซึ่งจะปลูกฝังเรื่องของการทำการเมืองที่มีคุณภาพและมีคุณธรรม ไม่ใช่เก่งอย่างเดียวแล้วโกงแต่ต้องมีคุณภาพและมีคุณธรรมด้วย

สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, คุณหญิงหน่อย, วันแม่ 2567

เรื่องคุณภาพและคุณธรรม เป็นเรื่องที่สังคมไทยโหยหาโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่อยากเห็นการเมืองที่พัฒนา มีคุณภาพ ไม่โกงกิน มีคุณธรรม ตรงไปตรงมากับประชาชน ไม่ใช่พูดอย่างทำอย่าง โดยรวมแล้วนั่นก็หมายถึงเราจะต้องซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ที่เราได้รับมอบหมายจากประชาชน ทำงานในทุกสัญญาที่เราสัญญาไว้กับประชาชนด้วยความซื่อสัตย์

บนเส้นทางการเมือง พี่เป็นรัฐมนตรีมาทั้งหมด 4 กระทรวง ไม่ว่าบทบาทของกระทรวงไหน พี่จะทุ่มเททำงานหนักมากเพื่อให้ได้ผลงานที่ดี และเป็นประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนให้ได้มากที่สุด 

ตอนอยู่กระทรวงคมนาคมกับกระทรวงมหาดไทย ตอนนั้นรับผิดชอบเรื่องจราจร พี่ทำโครงการอย่างเต็มที่เรื่องของการแก้ไขปัญหาจราจร เริ่มตั้งแต่เพิ่มพื้นผิวจราจรแบบง่าย ๆ ให้ตรอก ซอก ซอยมีทางลัด ทางเชื่อม เป็นรุ่นแรกที่ทำสะพานลอยในกรุงเทพฯ และเป็นคนวางแผนแม่บทรถไฟฟ้า เริ่มต้นสายแรกของกรุงเทพฯ คือ 10 สาย ซึ่งแผนแม่บทในวันนั้น ทุกวันนี้ยังคงถูกใช้อยู่

สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, คุณหญิงหน่อย, วันแม่ 2567

นักการเมืองที่ดีต้องรับผิดชอบหน้าที่ที่เราได้อาสาต่อประชาชนอย่างซื่อตรง

สิ่งที่เราได้เคยสัญญาไว้เหมือนเป็นสัญญาประชาคม เราก็ต้องยึดถือสิ่งที่เราไปหาเสียง เขามากาคะแนนให้เราเพราะเราไปบอก ไปให้สัญญาว่าจะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้พวกเขา พอได้เข้ามาทำงานแล้วลืมคำพูด หรือไม่ยอมทำตามนโยบาย สิ่งนี้เรียกว่า “ทรยศประชาชน”

ถ้ามีโอกาสได้ทำก็ต้องทำด้วยความซื่อสัตย์ โดยเอาผลสัมฤทธิ์ของประเทศชาติเป็นที่ตั้ง สมัยนั้นพลตรีจำลองจะสอนเสมอว่า “ต้องเอาผลประโยชน์ของประเทศชาติมาเป็นที่หนึ่ง ผลประโยชน์พรรคการเมืองของเราเป็นที่สอง และผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่สามนะ” ซึ่งพี่ก็ถูกหล่อหลอมมาแบบนี้ ดังนั้นตลอดระยะเวลาที่พี่ทำงาน ไม่ว่าจะในสภาหรือในรัฐบาล พี่ทุ่มเทเต็มที่และมีจุดยืนบนหลักการของการรักษาประชาธิปไตย ช่วงตอนปี 2535 เกิดเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ เราเข้ามาเป็นสส.ครั้งแรก ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่หนักหน่วงมาก เข้าสภามาได้ไม่ถึง 5 วัน เวลานอกนั้นไปนอนอยู่กลางถนนเสียมากกว่า

ตำแหน่งแห่งที่ของความเป็นนักการเมืองที่เป็นผู้หญิง 

แน่นอนว่า สังคมไทยเราถูกหล่อหลอมความชายเป็นใหญ่มาช้านาน บางครอบครัวแสดงออกอย่างเห็นได้ชัดว่าลูกชายหรือหลานชายจะเป็นที่รักมากกว่าลูกสาวหรือหลานสาว ในบริบทของสังคมก็เช่นกัน โอกาสมักจะเป็นของผู้ชายก่อน โดยมีข้ออ้างว่า ผู้หญิงทำได้ดีไม่เท่าผู้ชายหรอก เป็นแค่ผู้หญิงจะมีความสามารถอะไร ในวงการเมืองก็เช่นกัน ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ผู้หญิงจะถูกเลือกให้เป็นผู้นำ คุณหญิงสุดารัตน์เล่าให้เราฟังถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่ตัวท่านพบเจอมาด้วยตัวเอง

“เป็นที่รู้กันว่าบริบทของโลกในสมัยก่อน ยังไม่มีการยอมรับความสามารถของผู้หญิงที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำ สังคมไทยก็เช่นกัน ไม่ได้ให้การยอมรับความสามารถของผู้หญิงเหมือนอย่างในปัจจุบัน สิ่งที่พี่เจอในวันนั้นเรียกภาษาชาวบ้านว่า 2 เด้ง ด้วยตัวเราที่เป็นผู้หญิงและยังเป็นนักการเมืองที่อายุน้อยที่สุดในรัฐบาล สมัยพี่อายุ 31 เป็นรัฐมนตรีได้แล้ว แต่สมัยนี้ขยับอายุขึ้นมาเป็น 35

สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, คุณหญิงหน่อย, วันแม่ 2567

ความยากลำบากอันดับหนึ่ง คือ สังคมส่วนใหญ่ไม่ยอมรับ แต่ถ้าคุณลงไปทำงานในพื้นที่จริง ๆ สังคมของประชาชนจะรู้สึกถึงการพึ่งพาผู้หญิงได้ แน่นอนอยู่แล้วว่ามุมมองของผู้หญิงกับผู้ชายคือความแตกต่าง อาจจะเป็นเพราะว่าผู้หญิงมีความอ่อนโยนรวมถึงมีสัญชาตญาณของความเป็นแม่ การวางแผนจึงมองไปในเรื่องของอนาคต มองเรื่องราวน้อยนิดแต่มหาศาล ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ศูนย์พัฒนาศักยภาพทางด้านอาชีพของชุมชนนั้น ๆ ดังนั้นการลงพื้นที่ไปหาประชาชนของพี่เหมือนพี่ไปชาร์จแบต ได้พูดคุย ได้ฟังความคิดเห็น ได้เข้าถึงความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจริง ๆ ส่วนมุมมองของผู้ชายจะมองเรื่องหนักๆ จะเป็นในเรื่องของการตัดถนน มองโครงสร้าง นี่คือส่วนที่นำมาประกอบกันเพื่อสร้างให้เป็นผลประโยชน์ของประชาชน

“สวยแต่เจ็บ” ฉายาที่ถูกขนานนามในเวลานั้น

“พี่เป็นลูกสาวคนเดียว ถูกเลี้ยงมาแบบลูกผู้ชายให้มีความเชื่อมั่นในตัวเอง มีความแข็งกร้าวนิด ๆ ในเรื่องของใจ”

คุณพ่อพี่เป็นส.ส. ที่โคราช ตอนที่พี่อายุยังไม่ถึง 10 ขวบ ก็พาพี่ลงพื้นที่ในเขตที่กันดารมาก ๆ ถนนไม่ดี น้ำไฟไม่มี พี่จึงเคยชินกับการถูกเลี้ยงมาแบบสมบุกสมบัน นั่งปิคอัพแบบเอาแขนหนีบประตูไว้พี่ทำมาหมดแล้ว ถ้าถามถึงความอึด ถึก ทนในตัวพี่ พี่มีครบทั้งหมด

สมัยก่อนไม่มีโซเชียลมีเดีย การหาเสียงทุกคนต้องไปถ่ายโปสเตอร์ ชุดที่ใส่คือทุกคนมีสายสะพายหมด มีเราคนเดียวที่ไม่มีอย่างเขา เราทำยังไงล่ะ เรื่องนี้สำคัญมากนะในสมัยนั้น ไม่งั้นเราจะไม่มีทางได้ออกทีวีหรือลงหนังสือพิมพ์หรอก

พี่ก็คิด…ถึงเราไม่มีสายสะพายแต่เรามีชุดครุย เราต้องสร้าง differentiate ฉันมีชุดครุยปริญญาตรีจากจุฬาฯ นะ พี่ก็เลยใส่ชุดครุยถ่ายโปสเตอร์หาเสียง ตอนนั้นได้รับความสนใจมาก สื่อต่าง ๆ เรียกเราไปออกทีวี หนังสือพิมพ์เรียกเราไปสัมภาษณ์ พอได้รับเลือกให้เข้าสภา ในเวลานั้นสัดส่วนของผู้หญิงในสภาน่าจะยังเป็นเลขตัวเดียวอยู่ ไม่น่าจะเกิน 9% กลายเป็นว่าหนังสือพิมพ์พาดหัวข่าวว่าเราเป็นดอกไม้ ตรงนี้อ่านแล้วจี๊ดเลย เห็นเรามีค่าเป็นแค่ดอกไม้ที่ประดับอยู่ในสภา 

“เรารู้สึกว่า เฮ้ย!!! เราเข้ามาด้วยความสามารถ เรามีสมองนะ”

เรามีความมุ่งมั่นมีความตั้งใจและเชื่อว่าเราทำได้ดีกว่าหลายคนที่เคยทำมาด้วยซ้ำไป ฉันไม่ใช่แค่ดอกไม้ เพราะฉะนั้นก็จะไฟท์แล้วทำงานอย่างหนักสู้กับผู้ชาย 

การจะเข้าไปเป็นกรรมาธิการต่าง ๆ ในสภาเป็นอะไรที่ยากมาก แต่ถือเป็นความโชคดีของพี่ ที่ผู้นำ (พลตรีจำลอง ศรีเมือง) ไมไ่ด้มองเรื่อง gender เป็นอุปสรรค ตอนเราเป็นสส. 2 วันแรกก็มอบหมายงานใหญ่คือการให้ไปเจรจรกับคุณสุจินดา (พลเอก สุจินดา คราประยูร) (ต้องขออนุญาตเอ่ยถึงเพราะเป็นข้อเท็จจริง และเนื่องจากท่านเสียชีวิตไปแล้ว) 

พลตรีจำลองมอบหมายให้เราไปเจรจาเรื่องให้ท่านลาออกจากการเป็นนายกรัฐมนตรี เราตกใจว่าทำไมต้องเป็นเรา ในพรรคมีระดับนายพลอยู่ตั้งหลายคน พลตรีจำลองบอกว่า นายพลคุยกับนายพลไม่รู้เรื่องหรอก คุณน่ะไปคุย พี่ต้องขอขอบคุณประสบการณ์ในครั้งนั้นมาก ๆ

สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, คุณหญิงหน่อย, วันแม่ 2567

สังคมที่ด้อยค่าผู้หญิง หมิ่นเกียรติ และเหยียดหยาม

“พี่โดนมาไม่น้อย เรื่องที่พูดกันปากต่อปากว่าเอาตัวเข้าแลก” 

นี่คือสิ่งที่สังคมตีตราให้ความเป็นผู้หญิง ในวันที่ผู้หญิงก้าวกระโดดในหน้าที่การงาน มักจะถูกเหยียดหยามจากคำพูดต่าง ๆ นานา จากเพื่อนร่วมงานที่เป็นผู้ชายหรือแม้กระทั่งเป็นผู้หญิงด้วยกัน ภาษาชาวบ้านเรียกว่าใช้เต้าไต่ ในชีวิตการเมืองของผู้หญิงที่ชื่อสุดารัตน์…ก็เช่นกัน

“พี่โดนประจำเลยนะ”

“แต่ก่อนเวลาที่แข่งกับผู้ชายในพรรค หรือนอกพรรค  การที่มองว่าผู้หญิงได้ดิบได้ดี ไม่ใช่ได้มาด้วยความสามารถแต่ต้องเอาร่างกายไปแลก พี่โดนมาหลายครั้งมาก ถ้าเกิดเราสามารถเข้าหาใครง่าย ๆ เริ่มมีคนสงสัยแล้ว ว่ามันต้องมีอะไร กับหัวหน้าพรรค หรือกับคนนั้นคนนี้ แล้วพี่ก็เป็นคนไม่ยอม พอมีใครพูดปุ๊บ พี่ก็จะสวนปั๊บว่ามันไม่จริง จนคุณแม่ต้องบอกเราบ่อย ๆ ว่าอย่าไปต่อล้อต่อเถียง ไม่งั้นเราจะเสียหาย เราก็ถามแม่ไปว่า เราจะเสียหายยังไง ถ้าเราไม่ต่อล้อต่อเถียงสิ เราจะยิ่งเสียหายไปกันใหญ่ ยิ่งในเวลานั้น เรามีครอบครัวแล้ว มีลูกแล้วด้วย

นี่คือสิ่งที่ผู้หญิงในยุคก่อนโดน ซึ่งพี่ก็สู้มาจนถึงปัจจุบัน ถามว่ายังมีอยู่หรือไม่ การที่ผู้หญิงถูกเหยียดหยามแบบนี้ ก็คงต้องบอกว่ามี แต่ไม่มากเหมือนสมัยก่อน ทุกวันนี้สังคมเรามองคนที่ความสามารถมากขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางเพศยังไม่หมดไปก็จริง แต่น้อยลง เราจะเห็นได้ว่า ผู้หญิงอยู่ในทุกพื้นที่ที่เคยเป็นของผู้ชายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอาชีพหรือการใช้ชีวิต” 

การเมืองไทยในวันนี้เป็นยุคที่เลอะเทอะที่สุด

“ทำไมถึงเลอะเทอะ ?” คำถามที่เราถามคุณหญิงกลับไป

“ไม่ใช่เพียงแค่ไม่เห็นความสำคัญในเสียงของประชาชน แต่ไม่เคารพเสียงของประชนและไม่รักษาสิ่งที่สัญญากับประชาชนไว้ด้วย นี่คือสิ่งที่พี่มองว่าทั้งเละเทะและเลอะเทอะที่สุด”

สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, คุณหญิงหน่อย, วันแม่ 2567

“ตอนหาเสียง นอกจากพรรค 2 ลุง ทุกพรรคด่าลุงหมด บางพรรคด่าหนักกว่าคนอื่นด้วย ตอนขึ้นเวทีปราศรัย คนที่วาทศิลป์ดีเขาด่าหนักมาก แต่สุดท้ายประชาชนเขาเลือกคุณเพราะเรื่องนี้ด้วยนะ เพราะว่าคุณบอกว่าคุณจะไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจเผด็จการอะไรต่าง ๆ แต่ท้ายที่สุดแล้วคุณไม่ได้ทำตามสัญญา เหมือนไม่เห็นค่าของเสียงประชาชน ไม่เห็นถึงความไว้วางใจของประชาชนที่มอบให้ และพอมาถึงเรื่องนโยบายก็แทบจะลืมเลือนออกไปโดยเฉพาะนโยบายที่สำคัญต่อปากท้อง 

ณ ตอนนั้นเป็นคู่แข่ง เราก็สนับสนุนนะ พรรคไหนที่บอกว่าจะปฏิรูปโครงสร้างพลังงาน เพราะเรารู้ว่านี่คือต้นเหตุของต้นทุนสินค้าที่ทำให้ทุกอย่างแพงหมด พลังงานแพง ทุกอย่างก็ต้องแพงหมด สุดท้ายกลายเป็นผลประโยชน์ของกลุ่มทุนที่เข้ามา กลายเป็นว่าแม้ในรัฐบาลที่แล้วจนถึงรัฐบาลนี้ก็ไม่กล้าแตะกลุ่มทุน ไม่กล้าปฏิรูปโครงสร้างพลังงานหรือโครงสร้างอื่น ๆ ที่กระทบกับกลุ่มทุน กลายเป็นทำให้ความเหลื่อมล้ำมีมากขึ้น หลังโควิด 19 ความเหลื่อมล้ำยิ่งมากขึ้น บริษัทใหญ่ ๆ รวยกันกำไรปีหนึ่งเป็นแสนล้านหมื่นล้าน ขนาดที่คนชั้นกลาง SME ลงไปมีแต่มีแต่เจ๊งลง เจ๊งลง 

นี่คือสิ่งที่ประชาชนอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงหลังจาก 9 ปี แต่ว่ามันแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้แต่การจัดการงบประมาณ นี่คือสิ่งที่พี่คิดว่าไม่แฟร์กับประชาชน แล้วก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าเลอะเทอะแล้วกัน มันทำให้ประเทศเดินหน้ายาก ปัญหาของประเทศไทยถูกทำให้กลับมาวนซ้ำ

เมื่อเราไม่ยอมปรับโครงสร้าง เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม พลังงาน การศึกษาซึ่งสำคัญที่สุด การสร้างคนสำคัญที่สุด เราจึงมีสภาพของความด้อยในขีดความสามารถในการแข่งขันลดลงมาเรื่อย ๆ เราเคยเป็นเบอร์หนึ่งในอาเซียนนะ แต่วันนี้เราก็สนองนโยบายของท่านอดีตนายกประยุทธ์แล้วว่าจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพราะทุกคนแซงเราไปหมดแล้ว เราอยู่รั้งท้ายเรียบร้อย

ในทุกเรื่อง ในทุกมิติ ทั้งการศึกษา คุณภาพชีวิต เรื่องของความรับผิดชอบของนักการเมือง เรื่องของการทุจริต เราก็โอ้โห!!! แซงหน้าเขาไปมาก คืออะไรที่แย่เราแซงหน้าหมด อะไรที่ดีเรารั้งท้าย นี่มันไปต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้น นี่คือสภาพภายในประเทศที่ไม่ได้คิดอะไรที่มันยั่งยืนไปข้างหน้า 

Digital Wallet 5 แสนล้าน คือการไปสร้างภาระให้คนรุ่นต่อไป คนรุ่นใหม่อยู่ใช้หนี้กันอีกยาว เอาแค่ตัวเลขง่าย ๆ ใช้เงิน 2% ของ GDP เพื่อให้ได้ตามที่รัฐบาลโม้เลยเพื่อให้ GDP เพิ่มขึ้นมา 1.2 ขาดทุนหรือกำไร “มันขาดทุนอยู่แล้ว” แต่ World Bank บอกว่า 0.5 ยิ่งขาดทุนหนักใหญ่ 

เงินจำนวนนี้ควรออกไปทำในสิ่งที่พี่เพียรพูด คือ ‘กองทุนเครดิตประชาชน’ คือนโยบายที่ให้คนส่วนใหญ่เข้าถึงแหล่งทุน SME เข้าถึงแหล่งทุนแค่ไม่ถึง 10 % เกษตรกรกู้แบงก์ยากแสนยาก และคนที่จำเป็นต้องไปกู้นอกระบบ ดอกเบี้ยร้อยละ 20 บาทต่อเดือน 240% ต่อปี คนจนหรือเด็กจบใหม่ไม่มีทางที่เขาจะมีงานมีอาชีพได้ นอกจากคนที่มีทุนของที่บ้าน

สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, คุณหญิงหน่อย, วันแม่ 2567

การแจกเงินไม่ใช่การสร้างงานสร้างรายได้ สิ่งที่ควรทำคือการให้เขาเข้าถึงแหล่งทุนทรัพย์ เขาจะเอาความสามารถของเขาไปสร้างงานสร้างอาชีพได้ยั่งยืน เราเป็นกองทุนที่เอามาแค่ 2 แสนล้าน มาช่วย SME ช่วยคนตัวเล็กตั้งแต่เด็กจบใหม่ถึงเกษตรกรได้เยอะแยะเลย ดอกเบี้ยคิดร้อยละ 1 ต่อเดือนเท่านั้นเองเหลือ 12% ต่อปี ต้นทุนเงินของรัฐบาลมากที่สุดแค่ 4% รัฐยังได้กำไรตั้ง 8% เอามาบริหารความเสี่ยง แล้วเขาไม่ต้องเอาหลักทรัพย์มาค้ำประกัน ทุกคนจะรักษาเครดิตตัวเองเพราะบัตรเครดิตนี้จะอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต เดือดร้อนเงินเมื่อไหร่เขาจะได้มีโอกาสใช้ ได้ตั้งตัว ได้ขยายกิจการแบบยั่งยืน

ดังนั้น วันนี้ปัญหาภายในเราไม่ได้คิดอะไรในเรื่องของการปรับโครงสร้างที่สร้างประเทศให้ยั่งยืนตั้งแต่การศึกษาเป็นต้นไป รวมถึงโครงสร้างเศรษฐกิจที่เราไปเจอปัจจัยภายนอกอีก การเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี เราตามไม่ทัน เราไม่มีเทคโนโลยี เราไม่มี R&D (แผนกวิจัยและพัฒนา Research and Development)  ไม่มีอะไรเลยในประเทศนี้ เคยรับจ้างแต่ผลิต จนเดี๋ยวนี้แรงงานเราไม่มีแล้วนะ Robot ก็เข้ามาแทนที่ เราสู้ไม่ได้ เราผลิตสินค้าที่ล้าสมัยไปแล้ว 

ภูมิอากาศที่แปรเปลี่ยนเรื่องของ Climate change เรื่องของกฎกติกาที่มาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นซีแบรนด์หรือ carbon credit tag เรามีอะไรเตรียมตัวให้คนเล็ก ๆ ได้บ้าง อีกหน่อยโรงงานเล็ก ๆ ส่งออกไม่ได้นะ เขาเป็นแค่เสี้ยวหนึ่งของผลิตภัณฑ์หนึ่ง ถ้าเขายังไม่ได้มีโอกาสใช้พลังงานสะอาดเขาก็จะเข้าไปขายไม่ได้ เพราะคนที่ส่งผลิตภัณฑ์ไปขายในยุโรป อเมริกาก็จะเจอปัญหาเรื่องของถูกคิดภาษีแพงขึ้น เรื่องของการแบนสินค้าที่ไม่รักษ์โลก

เรายังเจอวิกฤตอะไรอีก วิกฤตผู้สูงอายุ สังคมผู้สูงวัย รัฐบาลไม่ได้มองการพัฒนาที่ยั่งยืน การสร้างอาชีพที่ยั่งยืนให้กับประชาชน คิดแค่เอาเงินไปโปรยแจก แล้วก็ไม่ได้ให้เงินสดด้วย ยิ่งไม่สามารถวนได้เลย

“พี่ว่าลำบากค่ะ สำหรับประเทศไทย ถ้ายังเป็นอย่างนี้ก็เห็นใจคนรุ่นใหม่มาก”

เราถามคุณหญิงสุดารัตน์ต่อไปอีกว่า “คุณหญิงมองการเมืองไทยในอนาคตเป็นอย่างไร เป็นไปได้หรือไม่ที่ประเทศชาติเราจะเข้าสู่ความเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ มีประชาธิปไตยเต็มใบเสียที” 

“ไม่ได้เลยถ้ายังอยู่ในมือรัฐบาลนี้”

ช่วงชีวิตที่สาหัส ปริศนาธรรม “มะพร้าวลูกหนึ่ง” เยียวยาหัวใจ

“กำลังใจจากครอบครัวมีส่งมาให้เสมอ” 

“หลังรัฐประหารปี 49 พี่ถูกตัดสิทธิ์การเมือง 5 ปี ในช่วงนั้นพี่ก็กลับมาชดเชยเวลาให้คุณพ่อคุณแม่ ขอเรียกว่ามีทั้งโชคดีแต่ก็ยังโชคร้ายควบคู่ไปด้วย ก็คือช่วงถูกตัดสิทธิ์ เราเที่ยวกันแบบตะลุย เที่ยวกันทั้งปีได้แค่ปีเดียว แล้วคุณพ่อคุณแม่พี่ก็เริ่มป่วย พอผู้สูงอายุป่วยจะรวนทุกระบบ พี่รักษาแม่นอนกับแม่ที่โรงพยาบาลเต็ม ๆ ปีกว่า ๆ แล้วคุณแม่ก็เสีย

สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, คุณหญิงหน่อย, วันแม่ 2567

ตอนคุณแม่ป่วย คุณลุง คุณป้า คุณอา เอาหนังสือธรรมะ เอาบทสวดมนต์มาฝากให้ ซึ่งพี่เรียนโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนเวนต์ พี่ไม่ค่อยรู้เรื่องศาสนาพุทธลึกซึ้งมากนัก แต่พอพี่ได้อ่าน ได้เรียนรู้ ทำให้พี่มองเห็นว่าหลักของพระพุทธศาสนาคือเรื่องของการควบคุมสภาวะจิตใจของเรา 

ต้องบอกว่าไม่ใช่ความเชื่อว่าอยากได้อะไรให้ไปขอ ไม่มีเทพเจ้า อยากได้อะไรเราต้องทำเอง กรรมดีกรรมชั่วอยู่กับเรา หลังจากคุณแม่เสีย พี่จึงได้มีโอกาสไปเรียนพุทธศาสนา ตอนแรกคิดว่าไปเรียนเพื่ออยากรู้มากขึ้น ทำไปทำมาก็เลยไปจบดอกเตอร์ทางพุทธศาสตร์ (พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาพระพุทธศาสนา จากบัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย)

จากนั้นเรื่องการเมืองพี่ก็คิดว่าจะไม่กลับไปทำ พ้น 5 ปีไปแล้ว พี่หยุดตัวเองอีก 5 ปี จนพรรคเพื่อไทยเขาโดนกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ คุณยิ่งลักษณ์ก็ถูกคดีแล้วออกไปนอกประเทศ อดีตนายกทักษิณก็มาขอให้พวกเราหลาย ๆ คน ไม่ใช่พี่คนเดียวกลับเข้าไป บอกว่าจะพรรคต้องใช้มืออาชีพเข้ามาทำนะ จนท้ายที่สุดทั้งกลุ่มก็กลับเข้าไปก็คือไทยรักไทย

เอาล่ะ!!! ถ้าสามารถทำการเมืองที่ดีเราก็อยากทำ แต่ท้ายที่สุดก็มีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่เห็น ท้ายที่สุดอาจจะมีโซลูชั่นมีดีลอะไรกันต่าง ๆ พี่โชคดีที่พี่ออกมาก่อน ถามว่าช่วงที่ประเทศแย่ ๆ พี่ก็ทุกข์นะ การมองไม่เห็นอนาคตทางการเมือง แล้วก็มาเจอกับตัวเองกับการกดดันในพรรคเก่า ทั้ง ๆ ที่ตอนขอให้เราเข้าไปทำพูดอย่าง แต่ตอนที่มีดีลแล้วทำอีกอย่าง ซึ่งเราไม่เข้าใจหรอก พูดกับเราตรง ๆ ดีกว่า ไม่ใช่มาทำกับเราแบบนี้ 

ท้ายที่สุด เราก็รักษาความเป็นตัวตนดีกว่า เราทำการเมืองมา 32 ปี ถ้าจะจบชีวิตการเมือง ขอจบในจุดเริ่มต้นที่เรายึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย และรักษาคำมั่นสัญญาที่มีให้ไว้กับประชาชนดีกว่า จบแบบศพสวยดีกว่า พี่คิดว่าพี่สบายใจในวันนี้ ถามว่ามีอะไรเข้ามาเยอะไหม พี่โดนกดดันเยอะไหม ตั้งแต่ในการเลือกตั้งจนถึงปัจจุบันนี้ ก็มี เพราะเราพรรคเล็กจึงถูกกดดันเยอะ

พี่มีหลักธรรมในการที่ควบคุมความรู้สึกหรือจิตใจของเราไม่ให้ทุกข์ไปกับสิ่งที่เราโดนกระทำ เรากลับมองว่า เราสงสารที่คนมากระทำเราด้วยซ้ำไป ว่าเขาจะทุกข์มากกว่าเรา เพราะเขาต้องหาวิธีในการกำจัดเรา หาวิธีที่จะเล่นงานเรา ตรงนี้ก็อยากบอกทุกคนว่า อยากให้ทุกคนทำตัวเหมือนลูกมะพร้าว คือ เราต้องมั่นใจว่าเรามีดีในตัวเอง 

“ลูกมะพร้าว” เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่มีน้ำ น้ำเข้าไปอยู่ข้างในได้ยังไง แล้วลูกมะพร้าวตกน้ำก็ลอยได้ ตกไฟยิ่งหอมใหญ่เลย ยิ่งมีวิกฤตเข้ามาในชีวิตยิ่งทำให้เราแกร่ง ยิ่งทำให้เราดังหอมเลยนะคะ แล้วถ้าลูกมะพร้าวตกลงสู่ดินที่ตกต่ำที่สุดล่ะ จากยอดต้นสูงลิบลงมาสู่ดิน เขาก็สามารถงอกขึ้นมาได้เองใหม่โดยไม่ต้องเอาอะไรไปช่วยเขาเลย เจ้าอาวาสวัดทองสอนสิ่งนี้กับพี่มา”

เราเป็นคนบ้างาน อาจจะให้เวลากับครอบครัวกับลูกได้ไม่เต็มที่ แต่เราใช้เวลาที่มีน้อยให้ได้คุณภาพมากที่สุด 

“เวลาเราจะน้อยกว่าคนอื่น แต่เราพยายามบริหารเวลาของตัวเองให้ได้คุณภาพมากที่สุด พี่โชคดีที่สามีชอบเลี้ยงลูก แล้วเขาก็ช่วยเลี้ยงลูกตลอด นักข่าวสมัยก่อนจะรู้เลยว่าวันเสาร์ – อาทิตย์ พี่จะเอาลูกใส่รถแล้วลงพื้นที่ด้วยกัน เราได้คุยกับเขา ได้ฟังในสิ่งที่เขาอยากสื่อสาร

สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, คุณหญิงหน่อย, วันแม่ 2567

พี่เลี้ยงลูกแบบเพื่อน จนโตมาทุกวันนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไปสั่ง ยิ่งในยุคนี้เราต้องฟังให้มาก เพราะว่าความคิดเขานี่จะผิดกับยุคที่พี่เล็ก ๆ ที่พ่อแม่บอกอะไรก็ต้องทำอย่างนั้น เราจะใช้ทัศนคติเดิมมาเลี้ยงลูกในยุคสมัยนี้ไม่ได้ บางเรื่องเขารู้ดีกว่าเราเสียอีก 

ตอนนี้เขาเริ่มเข้ามาช่วยงานธุรกิจที่บ้านบ้าง เราก็ต้องฟังเขาว่าเขาคิดอย่างนี้ ความคิดของเขา บางทีฟังครั้งแรกอาจจะไม่ใช่ แต่เมื่อฟังไป ดูไป หลาย ๆ ครั้งทำให้เราสังเกตว่า เขามีความคิดอีกมุมหนึ่ง แล้วพี่ก็ชอบตรงที่ว่า เดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่ไม่ได้มองแค่เรื่องของการแข่งขัน แต่เขามองเรื่องของคุณธรรม เรื่องของความถูกผิด เรื่องของการรักษ์โลก เรื่องหน้าที่ของตัวเอง

สำหรับคนที่เป็นพ่อเป็นแม่ในยุคนี้ การที่ทำให้ลูกมีคุณภาพและเป็นคนดี จะเรียกว่าคุณภาพคุณธรรมก็ได้ ต้องรู้จักฟัง ฟังและปรับตัวให้เข้ากับเขา ให้รู้เข้าใจเทคโนโลยีและความคิด ขณะเดียวกันถ้าเราไม่คัดท้ายก็อาจจะเป็นโทษในบางเรื่อง เช่น เด็กสมาธิสั้นก็มาจากเรื่องของเทคโนโลยีเหมือนกัน เรื่องของการซึมเศร้าที่กำลังเป็นมากในเด็กก็มาจากเรื่องของการเสพโซเชียล เรื่องเหล่านี้เราเองก็ต้องดู อะไรที่เป็นยาดำก็ต้องเข้าไปแทรก ไปป้องกัน หรืออะไรที่เป็นเรื่องที่เขา Advance กว่าเรา เราก็ต้องฟังเขาเช่นกัน”

พื้นที่ของลูก พื้นที่ของแม่ พื้นที่ของกันและกัน

 “สิ่งสำคัญคือต้องฟัง ต้องเข้าใจ ต้องให้พื้นที่เขา”

“ในยุคโซเชียลมีเดีย เราเองต้องเข้าใจว่ามันไม่มีอะไรที่เป็นความลับ แต่ก่อนสมัยเราเด็ก ๆ เราไม่มีโซเชียลมีเดีย พ่อแม่อาจจะบอกเราไม่หมดก็ได้ และบางเรื่อง เช่นเรื่องอะไรดีที่ obvious หน่อยที่คนจะเห็นชัด ๆ เช่นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างเพศ ซึ่งสมัยก่อนพูดไม่ได้เลย 

เดี๋ยวนี้เด็กเขาเรียนรู้เอง โดยที่เราก็ไกด์ให้ห่าง ๆ อยากจะพูดกับทุกคนที่เลี้ยงลูกว่า เราต้องมี Space ให้เด็ก และการที่เราจะกระโดดลงไปในพื้นที่ของเขา เขาจะไม่รับรู้และไม่ฟังที่เราพูดเลย เรื่องการแบ่งพื้นที่จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ และเราก็ต้องมั่นใจด้วยว่าพื้นที่ของเขาเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย ถึงเราจะเข้าไปไม่ได้ แต่เราก็ยังมั่นใจว่าพื้นที่ตรงนั้นจะไม่มีสัตว์ร้ายมากัดลูกเรานะ

ฉะนั้น เราต้องมีวิธีการในการที่จะสื่อสารระหว่างเรากับเขาแบบค่อยเป็นค่อยไป ระบบสั่งเหมือนแต่ก่อนมาในวันนี้ใช้ไม่ได้อีกแล้ว”

สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, คุณหญิงหน่อย, วันแม่ 2567

“ความสุขของลูก” ให้ลูกเป็นผู้ที่เลือกด้วยตัวเอง

“ลูกสาวคนเล็กขี้อ้อนมากค่ะ ทุกวันนี้ยังขลุกอยู่กับคุณแม่ ส่วนลูกชาย 2 คน เขาก็มีชีวิตของเขา มีอะไรของเขา แต่ลูกพี่ดีตรงที่ยังไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด ทานข้าวด้วยกัน ถือเป็นความโชคดีของพี่ที่ลูก ๆ แต่ละคนมีความ empathy ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว พี่ว่าตรงนี้สำคัญที่สุด แล้วเราก็รู้สึกสบายใจที่เห็นลูกเราแคร์คนอื่น แคร์ต่อสังคม เรื่องแค่นี้ก็ทำให้พี่มีความสุขมากแล้ว”

เราถามคุณหญิงต่อไปอีกว่า “ถ้าในวันหนึ่งพื้นที่ของเราถูกแชร์ด้วยคนรักของลูก คุณหญิงมีวิธีจัดการเรื่องนี้อย่างไร” คุณหญิงยิ้ม ๆ ก่อนตอบเราต่อว่า

“เคยคิดเหมือนกัน แต่ก็ทำให้เราย้อนกลับไปดูตัวเอง ตอนนั้นที่เรามีแฟน พ่อแม่ของเราคิดยังไง เราปฏิบัติกับพ่อแม่ยังไง เราต้องไม่บุ่มบ่ามที่จะเข้าไปในพื้นที่ของเขานะ”

“ความรู้สึกเวลาที่มีคนมาแชร์ บางทีก็น้อยใจเหมือนกัน เพราะว่าเราก็มีความรู้สึกว่า อืม!!! ไม่เห็นทำอย่างนี้ให้กับแม่บ้างเลย แต่กับแฟนแล้วก็ทำ อย่างนี้ก็มีบ้าง แต่แล้วเราก็มาคิดว่า ในสมัยเรา เราก็คงเป็นแบบนี้เหมือนกันนะ แล้วที่สำคัญ ชีวิตเป็นของเขา เขาต้องได้คนที่เขาสบายใจที่จะใช้ชีวิตคู่อยู่ด้วยกันไปหลังจากเราตายไปแล้ว ต้องเป็นสเปคของเขาไม่ใช่สเปคของเรา แต่ที่บ้านของพี่จะมีกฎ กฎที่สำคัญก็คือ พี่น้องต้องรักกัน ต้องเกื้อกูลกันไป 3 คนนี้เก่งคนละอย่างต้องเกื้อกูล แล้วก็อย่าให้เขยหรือสะใภ้ในอนาคตทำให้ต้องแตกแยกกัน กฎข้อนี้ย้ำลูก ๆ มาตั้งแต่เด็ก ๆ ในส่วนของเราผู้เป็นแม่ก็จะคอยดูอยู่เรื่อย ๆ ในทุกครั้งที่มีตัวละครใหม่เพิ่มเข้ามา ความสัมพันธ์ของพี่้น้องเป็นอย่างไรกันบ้าง ถ้าเข้ากันได้เราก็สบายใจ

รัฐสวัสดิการที่ว่าด้วยเรื่องของคนที่เป็นแม่ และ นโยบาย “เกิดจนแก่” เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

“คุณภาพชีวิตดี คือ การนำสังคมให้ดีตามไปด้วย”

“นี่คือนโยบายหลักของพรรคไทยสร้างไทย เสียดายว่าคนเลือกเราน้อย เราก็เลยไม่มีโอกาสได้ทำ จากประสบการณ์ของเราในความเป็นแม่ และความเป็นนักการเมืองมายาวนาน เรามองเห็นในเรื่องนี้ นโยบายของพรรคไทยสร้างไทยจึงพูดว่าเราควรจะต้องดูแลคนตั้งแต่เกิดจนแก่ ก็คล้าย ๆ กับอาจารย์ป๋วยที่ว่าด้วยเรื่อง “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน”

แต่ยุคสมัยใหม่เลยปรับเปลี่ยนเป็นคำว่า “เกิดจนแก่”

สิ่งนี้คือหัวใจ เราต้องให้คนตั้งแต่เกิดจนแก่มีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้เพียงพอต่อการยังชีพและหมดกังวลทุกช่วงวัย ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่จะแต่งงานเขาคิดมาก ทั้งสินสอด บ้าน รถ ความมั่นคงมันหายากมาก จะมีลูกทำไม ???

สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, คุณหญิงหน่อย, วันแม่ 2567

เด็กเกิดใหม่ปีที่แล้ว 5 แสนคน ปีนี้ไม่ถึง 5 แสน ลดน้อยลง คู่ที่แต่งงานแล้วอยากมีลูกไหม พี่ว่าหลายคนอยากมีนะ แต่เขาต้องกังวลว่าเขาจะเอาอะไรเลี้ยงลูก แล้วลูกของเขาจะเป็นคนที่มีคุณภาพไหม เด็กรุ่นใหม่หลายคนที่พี่คุยด้วยบอกเลยว่า ถ้าไม่สามารถเลี้ยงลูกที่มีคุณภาพได้ อย่ามีดีกว่า นี่คือสิ่งที่เขารับผิดชอบต่อชีวิตข้างหน้าที่เป็นลูกของเขา 

นโยบายของพี่ และพรรคไทยสร้างไทย เรามองว่าการพัฒนาคน หรือการให้โอกาสคนคือเรื่องที่สำคัญที่สุด ฉะนั้นเรามีสวัสดิการที่เราเรียกว่าเป็นเงินสนับสนุนการสร้างคนตั้งแต่อยู่ในครรภ์ คือตั้งแต่ท้องจนถึงลูกอายุ 6 ขวบ เราจะให้คูปอง 3,000 บาทต่อเดือน แต่อาจจะยังไม่เรียกว่าสวัสดิการถ้วนหน้า เพราะสภาพเศรษฐกิจเราไม่เอื้ออำนวย เราต้องหาเงินให้ได้มากกว่านี้ก่อนเราถึงสามารถทำถ้วนหน้าได้ เราจะให้กลุ่มเปราะบางที่เขาไม่ไหว เราลงพื้นที่เราเห็นเด็กเล็กกินน้ำข้าว ชงนมข้นหวานให้ลูกกิน บดกล้วยทั้ง ๆ ที่ลูกยังแบเบาะ 2 เดือน 3 เดือน

เรารู้อยู่แล้วว่าเด็กตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึง 6 ขวบเป็นช่วงที่สำคัญที่สุด เป็นช่วงที่จะพัฒนา IQ ได้มากที่สุด พัฒนาร่างกายได้ดีที่สุด IQ ของเด็กไทยต่ำลง ต่ำลงพร้อมกับความยากจนที่มากขึ้น หนี้ครัวเรือนเราเริ่มกระดกหัวขึ้น IQ ของเด็กก็ต่ำลงเพราะพ่อแม่ไม่มีปัญญาเลี้ยง

ทำไมเราลงทุนกับเรื่องอื่นบ้าบอเยอะแยะไปหมดได้ ทำไมเราจะลงทุนกับการสร้างคนไม่ได้ เราต้อง ให้โอกาสกับการสร้างคน แล้วเดือนละ 3,000 บาทถามว่าพอไหมจริง ๆ ก็ไม่ได้พอ แต่ก็พอที่จะสร้างคุณภาพ ทำไมถึงให้เป็นคูปอง เพราะเรารู้ว่าตอนนี้สภาพเศรษฐกิจไม่ดี ถ้าให้เป็นเงินสดก็อาจจะต้องไปใช้หนี้นอกระบบ มันจะไม่ลงไปที่การสร้างคน

เรามีโครงการคร่าว ๆ โดยจะมีหมอมาดีไซน์ว่า ช่วงนี้เด็กอยู่ในครรภ์แม่ต้องกินอะไรบ้าง อายุครรภ์เท่านี้ต้องกินอะไรบ้าง เราก็ให้เป็นคูปองที่จะไปแลกสิ่งนั้น เมื่อลูกเกิดมา เด็กต้องกินอะไรในช่วงวัยไหนตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ขวบ เด็กต้องใช้อะไรบ้าง อย่างเช่นค่าแพมเพิส ก็ต้องช่วยให้เขาไหว

เราไม่ได้ให้แค่คูปอง 3,000 บาท แต่ต้องมาคู่กับศูนย์เด็กเล็กที่สมบูรณ์แบบ เราเปลี่ยนชื่อว่าศูนย์แม่และเด็ก ไม่ใช่มารับเลี้ยงเด็กอย่างเดียว ทุกวันนี้ที่ให้งบประมาณค่าอาหาร 16 บาท ซึ่งไม่มีทางว่าจะได้คุณภาพอาหารให้กับเด็ก แต่แม่สามารถเข้าไป consult ได้ มีการแนะนำเรื่องการดูแลครรภ์ที่ใกล้ชิด คนจนจะเดินทางไปโรงพยาบาลมันยาก แต่ถ้ามีศูนย์แม่และเด็กในหมู่บ้านมันง่ายสำหรับเขา

เมื่อลูกโต แม่ต้องไปทำงานก็จะมีศูนย์เลี้ยงที่มีคุณภาพ ที่จะให้ความรู้กับเด็กได้ ที่จะให้อาหารกับเด็กที่เหมาะสมกับการพัฒนาด้านสมอง พอเด็กโตขึ้นมา พ่อแม่ต้องหมดกังวลเรื่องของการเรียน เรามีนโยบายให้เรียนฟรีจนจบปริญญาตรีสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย ลดเวลาช่วงมัธยมศึกษาให้เหลือเรียน 3 ปี  ถ้าไปดูในประเทศที่เขามีความก้าวหน้าทางการศึกษาคณะที่เป็น General เขาเรียนแค่ 2 ปี มหาวิทยาลัยบ้านเราเรียน 4 ปี

เราลดเวลาเรียนลง เด็กรียนจบได้ที่อายุ 18 -19 สามารถไปทำงานได้ และเพิ่มคุณภาพการศึกษา เด็กในกรุงเทพฯ และเด็ก ๆ บนยอดดอยต้องได้เรียนครูคนเดียวกัน เราจะไปทำอะไรได้ดีเท่ากับการลงทุนในการศึกษา เรามีทั้งอินเทอร์เน็ต เรามีทั้ง AI 

ในหลวงรัชกาลที่ 9 ตอนนั้นท่านพยายามทำการศึกษาผ่านดาวเทียม แต่เดี๋ยวนี้มีอินเทอร์เน็ต ง่าย ถูกกว่า เร็วกว่า เรียนสอนเสร็จ interact ถามตอบกันได้ด้วย AI ตอบได้หมด แล้วจะช่วยส่งเสริมครูที่อยู่ในพื้นที่ให้เขาพัฒนาขึ้นได้ ไม่ใช่ว่าสอนทางเดียว เด็กถามมา เราก็ฝึก AI ให้ตอบ 

สิ่งเหล่านี้จะทำให้ความเหลื่อมล้ำในการศึกษาลดลง ให้โอกาสเด็กชนบทเรียนจบปริญญาตรีโดยที่ไม่ต้องมาเป็นหนี้กยศ. ให้เขาได้เรียนเถอะ invest กับคนเมื่อจบแล้วต้องมีงานที่ดีทำ เมื่อเขาเก่งแล้ว เราถึงมีกองทุนที่เรียกว่าเครดิตประชาชน ดังนั้นต้องให้มีความรู้และมีทุน เขาจะได้ต่อยอดอาชีพได้ 

จากนั้นพอแก่ บำนาญประชาชน 3,000 บาทต่อเดือน อันนี้สำคัญ คนแก่ในประเทศเรา คนไทยแก่ก่อนรวย เดินไปในชุมชนไม่ต้องไปไกลถึงบ้านนอกหรอกดูในกรุงเทพฯ เดินเข้าไปหลังตึกแถวก็เจอแล้วคนแก่ติดเตียง เดินไม่ไหวและยากจน เงินที่ได้จากรัฐเดือนละ 600-800 บาทนี่มันไม่พอหรอก ให้เขาไป 3,000 บาท วันละ 100 บาทพออยู่ได้ คนแก่กินประหยัด ๆ แล้วก็ไม่ใช่เอาเงินไปอย่างเดียว condition ของเราคือคุณต้องเข้าศูนย์สร้างสุขภาพ คุณต้องแข็งแรงขึ้น ออกกำลังกาย ดูแลตัวเอง

เมื่อมีศูนย์ตรงนี้และคนที่รับ 3,000 บาทต้องเข้าโปรแกรม เขาต้องวัดผล เราจะแจก smart watch ให้ด้วยซึ่งเดี๋ยวนี้มาจากประเทศจีนถูกมากนะ ลงทุนเถอะให้เขามีความแข็งแรงขึ้น ไม่เป็นคนแก่ที่เจ็บป่วยก็ได้กำไรแล้ว เราไม่ต้องไปเสียเงินรักษาเขา นี่เราต้องเสียเงินรักษาคนแก่ที่ยากจนเยอะแยะ แค่เขาแข็งแรงเราก็กำไรแล้ว ถ้าแข็งแรงแล้วมีงานทำ reskill upskill ให้เขาได้ทำงาน ให้เขาได้มีโอกาสช่วยลูกช่วยหลาน เลี้ยงลูกเลี้ยงหลานในศูนย์เด็กเล็ก ให้เขามีโอกาสมีงานทำ 

โอ้โห!!! ประเทศชาติกำไรเยอะแยะเลย เพราะเราเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย เรามีหน้าที่ทำให้คนแก่แข็งแรง กลับไปทำงานได้ สร้างรายได้ เป็นกำลังซื้อได้นี่ก็คือการดูแลตั้งแต่เกิดจนแก่ นโยบายของไทยสร้างไทยที่เรายังไม่ได้มีโอกาสได้ทำแต่เราจะมุ่งมั่นเดินหน้าตรงนี้นะคะ

สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, คุณหญิงหน่อย, วันแม่ 2567

ฝากถึงผู้หญิงทุกคน

ขอให้กำลังใจกับผู้หญิงทุกคนกับทุกแม่ ต้องบอกว่าเราโชคดีค่ะที่เราได้เกิดมาเป็นผู้หญิง เราต้องภาคภูมิใจในความเป็นผู้หญิง มองจากภายนอกอาจจะดูว่าเราเสียเปรียบ แต่เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนจะรู้ตัวเองว่าเรามีความเข้มแข็ง มีความอดทน มีความเพียรพยายาม มีความหนักแน่น มีความซื่อสัตย์และมีความรักที่บริสุทธิ์ เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนรู้ตัวเองว่าทุกคนมีตรงนี้ในหัวใจ และสิ่งนี้คือสิ่งที่จะสร้างสังคม สร้างประเทศชาติและสร้างโลกนี้ให้งดงามได้ รู้ว่าผู้หญิงต้องต่อสู้มากเพราะเรามีดี เราเป็นคนที่รับผิดชอบ ภาระก็จะตกกับเราเกือบทั้งหมด 

เราจึงจำเป็นที่จะต้องภาคภูมิใจในตัวเราเองก่อน และมีความเข้มแข็งไม่ว่าอุปสรรคอะไรที่ผ่านเข้ามา เราจะก้าวผ่านไปได้ มันเป็นเรื่องเล็กสำหรับเราทั้งนั้น ผู้หญิงเก่งที่สุดในโลกแล้วค่ะ อย่างนั้นเราจะไม่ถูกยกย่อง แม่น้ำก็เรียกแม่ แม่ทัพเป็นผู้ชายแต่ยังเรียกแม่นะคะ ดังนั้นต้องบอกว่า เขายกย่องนี่คือสิ่งที่เป็นหัวใจสิงห์ของผู้หญิง เราจะเลี้ยงลูกคนเดียว เราจะต้องหากินอยู่คนเดียวก็ต้องภูมิใจค่ะ ว่าถ้าเราไม่เก่งเราทำคนเดียวไม่ได้หรอก เราต้องเชื่อมั่นในตัวเองในความสามารถและความดีของเรา

สุดารัตน์ เกยุราพันธ์, คุณหญิงหน่อย, วันแม่ 2567

AUTHOR

ทะเล จำปี ดนตรี ทราย และ ฉัน