“ทายาทหมายเลข 1” อาจเริ่มต้นจากเรื่องมรดกและอำนาจ แต่สิ่งที่ทำให้คนดูไม่อาจละสายตาได้ คือ “ความเป็นคน” ที่ซ่อนอยู่ในทุกตัวละคร แต่ละคนมีเหตุผลของตัวเอง มีแผล มีความรัก และมีสิ่งที่อยากปกป้อง จนบางครั้งเส้นแบ่งระหว่างถูกผิดดีชั่วก็ดูจะพร่าเลือนไปอย่างตั้งใจ
การปรากฏตัวของนักแสดงรุ่นใหม่ทั้งหก ต้นข้าว, นิว, พูม่า, ซัน, ก้อง และทีม คือพลังใหม่ที่เข้ามาขับเคลื่อนเรื่องให้เข้มข้น พวกเขาไม่ได้เป็นเพียงตัวแทนของ Gen ใหม่ในจอ แต่ยังสะท้อนเสียงของคนรุ่นใหม่ที่กำลังต่อรองกับระบบ ความคาดหวัง และคำว่า “ครอบครัว” ที่ไม่เคยเรียบง่าย ในความเข้มข้นของทายาทหมายเลข 1 จึงไม่ได้มีเพียงการแย่งชิงตำแหน่งหรืออำนาจ หากยังเป็นการต่อสู้ระหว่างสิ่งที่เราถูกสอนให้เชื่อ กับสิ่งที่เราค้นพบในหัวใจของตัวเอง
ในวันนี้ เรามีโอกาสได้พูดคุยกับหกนักแสดงที่มีความเกี่ยวข้องกับ “สยามรพี” ถึงเบื้องหลังการทำงานร่วมกับนักแสดงรุ่นใหญ่ ความท้าทายของบทบาทที่ได้รับ และสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้จากการยืนอยู่ท่ามกลางเกมอำนาจบนจอที่สะท้อนความจริงของโลกใบนี้ได้อย่างเจ็บแสบไม่แพ้กัน
พวกเขาเล่าให้ฟังถึงการเติบโตจากเด็กหน้าใหม่ที่ได้ก้าวเข้าสู่จักรวาลของ “ทายาทหมายเลข 1” การทำงานเคียงข้างนักแสดงระดับตำนาน การเรียนรู้จากทุกสายตา ทุกคำพูด และทุกอารมณ์ที่ส่งต่อกันในกองถ่าย ไปจนถึงมุมมองต่อคำว่า “ครอบครัว”
เรื่องราวในละครกำลังเข้มข้น ใครเป็นใคร ใครหักหลังใครบ้าง ใครจะได้ขึ้นเป็น “ทายาทหมายเลข 1” ตัวจริง ชวนกันติดตาม ที่สำคัญคุณต้องไม่ลืมคำว่า “อย่าไว้ใจช่อง one” เป็นอันขาด

ใครเป็นใครใน “ทายาทหมายเลข 1”



ต้นข้าว ชยุตม์ : สวัสดีครับ ‘ต้นข้าว ชยุตม์’ (ชยุตม์ นิติชาคร) นะครับ รับบทเป็น ‘ทะเลหลวง’ นะครับ ตัวละครทะเลหลวงก็เป็นลูกชายคนรองของพี่แท่ง (ศักดิ์สิทธิ์ แท่งทอง รับบท นที ) พี่แหม่ม (คัทลียา แมคอินทอช รับบท วีริน ) เป็นน้องชายของพี่ตรี (ภรภัทร ศรีขจรเดชา รับบท ชลธาร) ด้วย
ทะเลหลวงเป็นน้องชายคนรองที่รู้สึกว่าอยากจะซัปพอร์ตพี่ชาย เขาเติบโตมาแบบที่พร้อมจะเป็นซัปพอร์ตเตอร์ คือเรียนมาก็เพื่อที่จะมาช่วยธุรกิจที่บ้าน ทำนู่น ทำนี่ที่อยากจะซัปพอร์ตซะส่วนใหญ่นะครับ แต่ว่าด้วยตัวละครที่มันมีความใจร้อน เป็นคนมุทะลุก็ทำให้เกิดเรื่องราวอย่างที่ได้เห็นกันไป ทำให้เป็นปมในใจของตัวละครที่ยังติดอยู่ข้างในแล้วถูกตัดสินโดยคนอื่นรอบข้าง
แต่ว่าพอถึงวันที่ต้องกลับมาทำงาน เขาก็ต้อง prove ให้ทุกคนเห็นว่าเขาเปลี่ยนไปแล้วจากการที่เข้าไปอยู่ในเรือนจำ พอพ้นโทษออกมาก็ได้ศึกษาธรรม ทะเลหลวงเวอร์ชันที่ดีกว่าเดิมกลับมาแล้ว กลับมาทวงบัลลังก์ กลับมาแย่งชิงตำแหน่ง CEO อะไรแบบนั้น



นิว อัครวินท์ : ‘นิว อัครวินท์’ (อัครวินท์ นันทิพัฒน์) รับบทเป็น ‘มหาสมุทร’ ครับ มหาสมุทรก็เป็นลูกชายคนโต มีน้องชายชื่ออันดามัน เป็นลูกชายของพี่แป้ง (อรจิรา แหลมวิไล รับบท โปรยฝน) พี่อ่ำ (อัมรินทร์ นิติพน รับบท พศิน)
ตัวละครมหาสมุทรก็จะมีความทะเยอทะยานเพราะด้วยความที่เป็นลูกชายคนโต พ่อสปอยล์มาตลอด อยากได้อะไรก็ได้ เป็นคนเอาแต่ใจ ก็เลยคิดว่าตัวเองมีความเป็นผู้นำสูง แล้วก็มีความตั้งใจในการทำงาน คิดว่าเราก็เหมาะสมที่จะเป็นทายาทเหมือนกัน ซึ่งเราก็ต้องมา prove เหมือนกันว่า เรากับทะเลหลวง ใครจะเหมาะสมกว่ากัน
อย่างที่ทะเลหลวงบอกว่า ทะเลหลวงมีปมในใจ ซึ่งตัวมหาสมุทรก็ต้องคิดอยู่แล้วว่าปมข้อนี้มันคือจุดที่เราจะเอาชนะได้ มหาสมุทรก็จะมีความน่าติดตาม ส่วนตัวผมเองก็มีความท้าทายมากที่ได้รับเล่นบทนี้ครับ



พูม่า ภูปภพ : ‘พูม่า ภูปภพ’ (ภูปภพ โกมลโชติ) รับบท ‘อันดามัน’ ครับ อันดามันเป็นลูกชายคนสุดท้องของพี่แป้ง – พี่อ่ำ เป็นน้องชายของพี่นิวครับ เขาจะเป็นเด็ก introvert ที่ส่วนใหญ่จะใช้เวลากับคอมพิวเตอร์ พ่อแม่จะไม่ค่อยสนใจ เพราะว่าจะเทความสนใจไปที่พี่ชายมากกว่า เพราะว่าพี่ชายมีสิทธิ์จะขึ้นมาเป็นทายาท ก็เลยไม่ค่อยสนใจลูกคนเล็กมาก ทำให้อันดามันพูดกับคนอื่นไม่ค่อยเก่ง เป็นคนเงียบ ๆ



ซัน ปัณณธร : ‘ซัน ปัณณธร’ (ปัณณธร อนันต์กิตติเลิศ) รับบทเป็น ‘มุกตะวัน’ ครับผม มีพ่อแม่เป็นพี่แท่ง – พี่แหม่ม ครับ พี่ชายคนโตเป็นพี่ตรี พี่ชายคนรองเป็นพี่ข้าว แล้วก็มีพี่สาว 1 คน คือพี่ปาว (ปวรดา วีรวรรณ รับบท มุกดาว) ซันเป็นน้องคนสุดท้อง
คาแรกเตอร์ของตะวัน เขาจะเป็นก้อน energy พลังบวกตัวน้อย ๆ ของบ้านรพีธาดา เป็นคนที่คอยให้ความสดใสกับคนในบ้าน รวมถึงพยายามจะเป็นที่พึ่งทางใจให้กับใครหลาย ๆ คน รวมกระทั่งตัวของอันดามันด้วย



ก้อง วิทยา : ‘ก้อง วิทยา’ ครับ (วิทยา เทพทิพย์) รับบท ‘คีตะ’ ครับ เป็นหมอดูประจำตระกูลรพีธาดาครับผม

ทีม คุณากร : ‘ทีม คุณากร’ (คุณากร ปุราโส) รับบท ‘เดินทัพ’ ครับ เป็นลูกชายของพี่ดู๋ สัญญา (สัญญา คุณากร รับบท จารึก) เป็นลูกคนเดียว พ่อก็พยายามจะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกได้มา แบบโกงเขามา ซึ่งเดินทัพก็จะเป็นคนที่ไม่เดินตามรอยพ่อ ก็คือมีความคิดเป็นของตัวเอง เห็นว่าพ่อเป็นคนแบบนี้ก็ไม่อยากตามรอยพ่อ เขาเป็นคนรักในความยุติธรรมแล้วก็ซื่อตรงมากครับ
ความรู้สึกแรกเมื่อต้องทำการแสดงกับนักแสดงเบอร์หนึ่งของวงการ
ต้นข้าว ชยุตม์ : ก่อนที่จะได้ไปถ่ายคิวแรกก็มีโอกาสได้เจอพี่ ๆ ทุกคน ตั้งแต่ตอน read through แล้ว ก็รู้สึกว่าตื่นเต้นมาก เพราะว่าตอน read through ยังไม่มีใครรู้เรื่องอะไรมากมายเท่าไหร่เลย แค่รู้คาแรกเตอร์ของตัวเองนิด ๆ หน่อย ๆ
แต่พอมา read through แล้วมาลองเล่นด้วยกันแล้ว รู้สึกว่า “โห” นี่ยังไม่มีฉาก ไม่มีการแต่งหน้า ไม่มีอะไรเลยนะ แค่มานั่งอ่านบทกัน มันยังรู้สึกน่าสนุกขนาดนี้ รู้สึกว่าตั้งตารอเลย เปิดกล้องเมื่อไหร่น่าจะสนุกแน่ ๆ
ผมว่าช่วงแรก ๆ ก็อาจจะมีเกร็งบ้าง แต่ว่าพอเราไปอยู่ด้วยกันบ่อย ๆ ได้มีการแลกเปลี่ยน ได้คุยกัน ก็รู้สึกว่าความเกร็งพวกนั้นก็หายไปหมดเลย เหมือนไปเล่นกัน ไปคุยกัน ไปเรียนรู้ครับ

นิว อัครวินท์ : ตอนแรกก็เกร็ง กดดัน คิดมากว่าเราจะทำออกมาได้ดีแค่ไหน คือพี่ ๆ เขาทำได้ดีอยู่แล้ว แต่พอได้เข้าไปในกอง ได้ทำงาน ยิ่งได้พูดคุยแล้วก็ยิ่งรู้สึกว่าเรา relax มากขึ้น พี่ ๆ เข้ามาเล่นด้วย มาคุยกับเรา อย่างผมกับพูม่าจะเข้าฉากกับพี่อ่ำ – พี่แป้ง บ่อย พี่อ่ำก็คือตลกมาก ทำให้เราหายเครียดไปเลย เราไม่ได้กดดันอะไรเลย พี่อ่ำจะคอยละลายพฤติกรรมตลอดเวลา
ต้นข้าว ชยุตม์ : ฝั่งนี้เขาก็จะเป็นพี่อ่ำ – พี่แป้ง ฝั่งผมก็จะเป็นพี่แท่ง – พี่แหม่ม ถ้ามีทะเลหลวงหรือมีมุกตะวันก็จะมีวีรินเสมอ ก็จะเป็นแม่ที่ประกบลูกเลย
นิว อัครวินท์ : พี่นก (สินจัย เปล่งพานิช รับบท ธารา) ด้วย เราก็เข้ากับพี่นกเยอะ

พูม่า ภูปภพ : ผมรู้สึกว้าวในการที่ได้เห็นพี่แป้ง – พี่อ่ำ แสดง เพราะเหมือนว่าพี่แป้งจะมีซีนอารมณ์เยอะมาก อย่างซีนร้องไห้ สั่งปุ๊บ น้ำตามาปั๊บ
นิว อัครวินท์ : มาทุกฉาก น้ำตามาทุกฉาก
พูม่า ภูปภพ : ใช่ professtional มากเลยครับ ผมประทับใจมาก ๆ เขาสามารถทำแบบนั้นได้ แล้วพี่อ่ำก็ improvise เก่งมากในซีนอารมณ์
นิว อัครวินท์ : สวิตช์เก่งมาก จากหัวเราะอยู่ก็บู้ม!!!!
ต้นข้าว ชยุตม์ : พี่แหม่มด้วยครับ พอซีนร้องไห้ สั่งน้ำตาไหลได้
ซัน ปัณณธร : ของซันก็จะเข้ากับพี่แหม่มบ่อยที่สุด รู้สึกว่าสบายใจที่ได้คุย ที่ได้เล่นกับเขามั้ง ด้วยความที่เราเป็นตัวจิ๋วของกองด้วย แล้วก็เป็นตัวจิ๋วของบ้านด้วย ก็จะมีโอกาสได้พูดคุยกับพี่แหม่มอยู่บ่อยครั้ง จนทำให้รู้สึกว่าความเกร็งมันหายไป ใช้เวลาไม่นาน แค่กองสองกองแรก คิวสองคิวแรก ก็รู้สึกว่า เราสนิทใจที่จะพูดคุย ที่จะแลกเปลี่ยน ที่เราจะเล่นกับคนคนนี้ ที่เราจะกอดเขา ที่เราจะส่งความรู้สึก แล้วก็รับความรู้สึกของเขามาครับ มันดีมาก ๆ เลยจริง ๆ ครับ

ต้นข้าว ชยุตม์ : energy ความเป็นแม่ครับ แล้วพี่ ๆ ทุกคน welcome พวกเรามาก ๆ เหมือนเวลาที่เราไม่ได้ถ่าย เราก็นั่งกินข้าวอยู่ในโต๊ะเดียวกัน คุยกัน แล้วมีเรื่องให้คุยได้ตลอดเวลา
นิว อัครวินท์ : enjoy กันมาก ๆ ครับ
ต้นข้าว ชยุตม์ : บางทีเขาก็ชวนเราไปทำนู่นทำนี่ มันทำให้รู้สึกว่าสนิทกันแบบที่ไม่รู้ตัว พอเวลาทำงานเลยไม่ใช่ความเกร็งแล้ว แต่เหมือนกับว่าเราเป็นทีมเดียวกัน แล้วเราก็เหมือนกับแลกเปลี่ยนส่งอารมณ์ ส่ง energy ให้กัน ทำให้ภาพที่ออกมามันดีมากจริง ๆ
ทีม คุณากร : ผมจะเข้ากับพี่ดู๋ – พี่กรีน (อัษฎาพร สิริวัฒน์ธนกุล รับบท สีน้ำ) เยอะที่สุดครับ ตอนแรกเกร็ง ๆ นะครับ เพราะว่าผมมีอุปสรรคคือเรื่องของภาษาครับ ตอนแรกกังวลว่าเราจะไปชะลอการแสดงของเขา ก็กลัว เกร็งมากเลยครับ
แต่ว่าพอมาถ่ายจริง ๆ พอเจอพี่ดู๋ พี่ดู๋เข้ามาหาผมเลย พี่ดู๋รู้ว่าผมมีปัญหาด้านภาษา ก็มาต่อบทด้วยกันเลยครับ คือช่วยให้ผมผ่อนคลาย คุยเล่นกับผม แล้วก็ต่อบทด้วยกันเรื่อย ๆ เรื่อย ๆ จนกว่าจะเข้าซีน ก็คือขอบคุณมาก ๆ เลยครับที่ซัปพอร์ตผมขนาดนั้น รู้สึกประทับใจมาก แล้วก็ดีใจมาก ๆ ครับ
พี่กรีนเช่นกัน อารมณ์มาเร็วมากเลยครับ ผมดูพี่กรีนแล้วผมรู้สึกว่า ผมเล่นไม่ได้เหมือนพี่เขาแน่ ๆ แบบว่าคุยเล่นกันอยู่ แล้วเข้าซีนก็คือทำงานเลย คือสวิตช์เลย ผมยังเป็นมือใหม่อยู่ ต้องเรียนรู้อีกเยอะมาก พอเห็นการแสดงของพี่กรีน แล้วก็พี่ ๆ ทุกคนตอนที่ต้องเข้าซีนด้วยกัน ผมรู้สึกว่า “มืออาชีพทำกันอย่างนี้นี่เอง”

ก้อง วิทยา : ของผมก็ตื่นเต้นมากครับที่จะได้เจอกับรุ่นใหญ่ ๆ แต่ว่าในเรื่องผมไม่ค่อยได้เข้ากับรุ่นใหญ่สักเท่าไหร่ จะเข้ากับรุ่นเด็กมากกว่า เพราะว่าในเรื่องจะคอยให้คำปรึกษา แต่ว่าหลังกล้องผมก็จะมีแอบไปดูรุ่นใหญ่เขาเล่นกันด้วย แอบส่องหน้ามอนิเตอร์
เรียนรู้อะไรมาบ้างจากพี่ ๆ
ต้นข้าว ชยุตม์ : ที่แน่นอนเลยก็คงเป็นเรื่อง skill การแสดง ด้วยการสอนผ่านคำพูด หรือจากการที่เรา observe เขา เวลาเราเห็นเขาแสดง เวลาเราเห็นเขาทำงาน เรารู้สึกได้ว่าคือ professional จริง ๆ เวลาเล่นเราก็เล่นเต็มที่ คุยกันได้อย่างเต็มที่ แต่ถึงเวลางาน เห็นเลยว่าพี่ ๆ ทุกคนทำการบ้านมาเป๊ะมาก ๆ ครับ
พอถึงหน้า set ทุกคนเหมือนมาแลกเปลี่ยนอารมณ์กัน มาส่งให้กัน เราไม่จำเป็นต้องดีไซน์อะไรมาเลย เราแค่เชื่อ ทำการบ้านมา เราเล่นเลย เราส่งให้เขา เขาส่งให้เรา เท่าไหนก็ไปอย่างนั้น เรารู้สึกว่านี่คือการแสดงที่มันสนุก มันทำให้เรารู้สึกว่าเราไปกองแล้วสนุกมาก ๆ
นิว อัครวินท์ : ที่แน่ ๆ คือ skill การแสดง แล้วก็จะมีวันหนึ่งที่ผมมีโอกาสที่ผมได้คุยกับพี่อ่ำ เขาจะสอนในเรื่องของการวางตัว เราเป็นนักแสดงที่ดีวางตัวยังไง อยู่กอง หรือว่าวิธีคุยกับผู้ใหญ่ พี่เขาก็จะคอยบอกคอยสอน เล่าประสบการณ์ที่เคยผ่านมา ก็รู้สึกดีมากเลย คงไม่มีโอกาสดี ๆ แบบนี้บ่อยครั้งที่จะมานั่งคุยแลกเปลี่ยนกัน

ซัน ปัณณธร : ส่วนของซันได้เรื่องประสบการณ์การใช้ชีวิต จากพี่แหม่มและพี่ ๆ คนอื่น ๆ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นพี่แหม่ม ที่ได้แลกเปลี่ยนกันระหว่างทานข้าว เขาก็อยากจะรู้ว่าเด็กช่วงอายุของซันทุกวันนี้เราทำอะไรกัน เรามีความคิดแบบไหน เราพูดจาใช้ภาษาห้วน ๆ แบบไหนกัน ส่วนเราก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าประสบการณ์ที่เขาผ่านมา เขาอยากสั่งสอนอะไรเรา เป็นคำสอนดี ๆ ที่เราจะได้เอาปรับใช้กับชีวิตของเรา
พูม่า ภูปภพ : ส่วนผมก็ได้เรียนรู้ว่าถ่ายละครมันต้องทำงานเป็นทีม เพราะเหมือนพี่อ่ำเขาจะคอยให้กำลังใจผมตลอด ทุกซีน เขาจะบอกว่า “เก่งมาก ๆ” พลังบวกมันช่วยผมได้จริง ๆ
พูม่า ภูปภพ : ทำให้รู้สึกดี
นิว อัครวินท์ : ก่อนกลับบ้านก็จะมาแท็ก ว่า “เฮ้ย!!! เก่งมากลูกวันนี้” พี่ ๆ ทุกคนน่ารักมาก

SUM UP : มันเป็นการส่งพลัง แล้วมันก็จะทำให้เราใจฟู
ทีม คุณากร : ใช่ครับ พลังบวกมาก ๆ แล้วผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างเลยครับ โดยเฉพาะเรื่องการแสดง เหมือนที่พูม่าบอก มันคือเรื่องของการซัปพอร์ตกัน เวลาผมช็อตฟีล คิดไม่ออก หรือเข้าฉากแล้วหลุดจังหวะ เขาก็จะคอยปลอบ คอยอยู่ข้าง ๆ ทำให้เรารู้สึกดีขึ้น สบายใจขึ้น แล้วก็กลับมาโฟกัสได้อีกครั้ง
อีกอย่างที่ผมได้เรียนรู้มาก ๆ คือพอได้ทำงานใกล้ชิดกับรุ่นใหญ่ เราจะเห็นเลยว่า ขนาดพี่ ๆ เขาเก่งมาก ๆ เลย เขายังตั้งใจทำการบ้านก่อนมาหน้างาน พอถึงกอง ผมเห็นว่าบางทีจะมีเข้าไปคุยกับผู้กำกับว่า ‘ผมคิดไว้แบบนี้นะครับ’ แล้วผู้กำกับก็จะเสนอว่า ‘ลองแบบนี้ดูมั้ย’ ผมเห็นพี่ดู๋นั่งแก้ นั่งคิด ดีไซน์หลายทางไว้เผื่อ มันทำให้เรารู้เลยว่าการทำงานเต็มที่มันเป็นยังไงครับ
ก้อง วิทยา : จริง ๆ มันค่อย ๆ ซึมซับระหว่างทางที่เราเริ่มถ่ายกัน เรื่องของการแสดง ก็ค่อย ๆ เรียนรู้และสังเกตพี่ ๆ ในวงการ

ความสัมพันธ์ของกันและกัน
ต้นข้าว ชยุตม์ : ผมรู้สึกว่าผมภูมิใจมาก และดีใจมากเลยที่เป็นส่วนหนึ่งของนักแสดงเหล่านี้ ไม่เฉพาะพี่ ๆ รุ่นใหญ่ แต่เป็น Gen เด็กเองด้วย เพราะว่าทุกคนก็ตั้งใจทำงาน ที่ถูกคัดเลือกมาอยู่ในเรื่องนี้ เพราะว่าทุกคนมีความสามารถจริง ๆ ที่เห็นเลยคือทุกคนทำการบ้านของตัวเองมาได้อย่างดี แล้วพอถึงเวลาทำงานจริง ๆ มันเหมือนกับว่าทุกคนพร้อม ทุกคนมีความพร้อมของตัวเอง แล้วมาเล่นมาทำงาน ทุกอย่างมันราบรื่น เราช่วยเหลือกันแบบ teamwork จริง ๆ ผมเข้าใจถึงคำว่า “Teamwork” จริง ๆ กับการถ่ายละครเรื่องนี้
SUM UP : นอกจากเจอกันในกอง มีชวนกันทำกิจกรรมอย่างอื่นอีกมั้ย?
ต้นข้าว ชยุตม์ : จริง ๆ เราก็เจอกันตลอดอยู่แล้ว เจอกันบ่อยที่ช่องด้วย
ซัน ปัณณธร : ตีแบด กินข้าว แล้วก็ฟิตเนสหรรษา วันนั้นที่ไปถ่ายที่โลเคชันหมู่บ้าน นั่งพักกันยาว ๆ ก็หมกกันอยู่ในฟิตเนส 4 คน
ต้นข้าว ชยุตม์ : คุณคิดว่าผู้ชาย 6 คนจะชวนกันไปทำอะไรล่ะครับ
นิว อัครวินท์ : เข้า gym
ต้นข้าว ชยุตม์ : เออ!!! ได้
ต้นข้าว ชยุตม์ : ตี…
นิว อัครวินท์ : แบต….
ต้นข้าว ชยุตม์ : ถูกต้อง ๆ เก่งมากครับ (หัวเราะ)

กระแสตอบรับจากคนดูหลังละครออกอากาศ
ต้นข้าว ชยุตม์ : อย่างแรกต้องขอบคุณทุก ๆ คนเลยนะครับ ขอบคุณที่ให้การตอบรับ ให้การต้อนรับที่ดีมาก ๆ ผมไล่อ่านดูคอมเมนต์ มันเป็น good feedback ส่วนมากเลยนะครับ แล้วมันทำให้เรารู้สึกว่าใจฟู
ซัน ปัณณธร : จะฝากขอบคุณทุกคนที่กำลังติดตามละครเรื่องนี้ แล้วก็ขอขอบคุณมาก ๆ ที่ส่งกำลังใจมาให้พวกเรา ไม่ว่าจะผ่านการโพสต์ ไม่ว่าจะในช่องทางไหน ๆ หรือว่าการคอมเมนต์ พวกเราได้รับรู้จริง ๆ จะบอกว่าเห็นหลาย ๆ โพสต์ก็ดีใจมาก ๆ ครับผม ที่ทุกคนสนุกไปกับพวกเรามากขนาดนี้ เพราะว่าในแต่ละซีน ตอนที่เรามานั่งย้อนดูละครด้วยตัวเราเอง เรารู้สึกว่า “ซีนนี้แหละ ที่เราอยากให้คนดูรู้สึกไปกับพวกเราจริง ๆ”
หลาย ๆ ครั้งก็ได้เห็นรูปภาพ capture จอเหล่านั้นโผล่อยู่ในโพสต์พร้อมกับ caption พิมพ์บรรยายความรู้สึกของคนดู แล้วเรารู้สึก fulfill มาก ถึงแม้บางซีนที่จะไม่มีตัวเรา แต่ว่าเราก็รู้สึกว่าขอบคุณจริง ๆ ครับที่ซัปพอร์ตพวกเราทุกคนมาก ๆ ขนาดนี้

97
มีโมเมนต์ไหนในกองที่ประทับใจเป็นพิเศษ
นิว อัครวินท์ : ถ้าพูดคือเยอะมาก คงต้องพี่อ่ำอีก เพราะว่าพี่อ่ำจะเป็นคนที่คอยสร้างสีสันให้กับพวกเรา พอเจอกันพี่อ่ำจะเข้ามาเล่น คอยทำให้เราไม่เบื่อ เพราะรู้ว่าบางทีเราอาจจะง่วง เหนื่อย เขาก็จะมาเล่นกับเราให้เรามีพลังในการทำงาน เหมือนเรามีเพื่อนอีกในคนวัยเดียวกัน
ต้นข้าว ชยุตม์ : นี่ถ้าพ่อผม (พี่แท่ง) ไม่ไปซะก่อนนะ แท็กทีมเป็นแพ็กคู่
นิว อัครวินท์ : พี่ ๆ ทุกคน energy ดีมาก
ซัน ปัณณธร : ซีนที่ซันชอบที่สุดจริง ๆ ซันขอยกให้เป็น ซีนงานศพ เพราะว่าส่วนตัวซันชอบ costume วันนั้นด้วย เป็น costume ที่เราใส่แล้วเราหล่อ ชุดนั้นคือให้เป็นอันดับ 1 ของเรื่องเลย เราชอบ costume ชุดนี้ที่สุด
แล้วซีนนั้นเป็นซีนที่เรามีหลากหลายอารมณ์มาก ตั้งแต่เริ่มอยู่ในงานศพ มันเปิดซีนการเล่าเรื่องของวันงานศพด้วยอารมณ์ความเศร้าของเราที่เราเพิ่งเสียพ่อกับพี่ชายไป แล้วก็ค่อย ๆ ไล่มาตอนที่เราเจอคุณจารึกครั้งแรก มันก็เป็นอีกความรู้สึกหนึ่งจนไปถึงตอนที่บรรจุอัฐิ ตอนบรรจุอัฐิ สองคนนี้ก็ทะเลาะกันอีก (ชี้ไปที่ต้นข้าวกับนิว) ก็มีความอีกอารมณ์หนึ่ง
จนกระทั่งตอนถึงตอนที่เราวิ่งไปฟ้องแม่ แม่มาดูแล้วก็เป็นหนึ่งใน sequence สำคัญในตอนนั้นที่ค่อนข้างมีผลกับช่วงหลังของตอน ก็เป็นอีกความรู้สึกหนึ่งซึ่งตอนที่ถ่ายตอนนั้น ซันรู้สึกว่าโปรดักชันของฉากนั้น ๆ มันเจ๋งมาก แล้วก็ 2 คนนี้ก็เก่งมาก (ชี้ไปที่ต้นข้าวกับนิว) ที่บู๊อยู่ในวัดได้แบบน่าดูมากครับ
ทีม คุณากร : ของผม ตอนนั้นผมก็น่าจะเปิดตัวมาพร้อมความลับ แล้วก็ของสีน้ำด้วยครับ ผมก็ประทับใจตรงไหนเหรอครับ? ……. มีคำหนึ่งผมพูดภาษาเยอรมัน รู้สึกว่าเอาภาษาเยอรมันมาใช้ได้ด้วย ก็รู้สึกว่าดีใจได้พูดภาษาเยอรมันในละครด้วยครับ

ถ้าเกิดมาอยู่ใน “สยามรพี” จริง ๆ
นิว อัครวินท์ : โหหหหห!!!! (ลากเสียงยาว) สนุกสุดเหวี่ยง
ทีม คุณากร : ไปให้สุด ไปให้สุดทางเลยครับ
นิว อัครวินท์ : ตามนั้นเลยครับ ไอ้หมุดเป็นไงผมก็เป็นงั้น แต่ว่าจะนิสัยดี ไม่ทำร้ายคนอื่น แต่ใช้เงิน
ต้นข้าว ชยุตม์ : ปรนเปรอตัวเอง
ทีม คุณากร : ความฝันหลาย ๆ คน ผมว่านะ
ซัน ปัณณธร : มันคือปลายทาง จุดมุ่งหมายของพวกเราทุกคนนั่นแหละที่อยากจะใช้ชีวิตสุขสบาย
นิว อัครวินท์ : คือปัญหาที่เขาเครียดไม่ใช่ปัญหาเรื่องเงินไง เขามาทะเลาะกับเรื่องตำแหน่ง
ต้นข้าว ชยุตม์ : แต่มันก็คือเงินทั้งหมดนะ เอาทั้งหมดเลยนะ เอาหมด
ก้อง วิทยา : ผมคิดว่าคงเหมือนกับทุกคน ใช้เงิน ใช้ชีวิตแบบเท่ ๆ
พูม่า ภูปภพ : ผมก็น่าจะใช้แบบอันดามัน เพราะว่าทุกอย่างที่อันดามันทำมีเหตุผล ครอบครัวเป็นแบบนั้น เด็กคนไหนที่อยู่ใน position ของอันดามันก็จะเป็นแบบนั้น

มีอะไรน่าติดตามใน “ทายาทหมายเลข 1”
ต้นข้าว ชยุตม์ : พูดถึง line up นักแสดงก่อนเลยครับ ผมว่าตรงนี้เป็นอีกหนึ่ง magnet ที่ทุกคนน่าจะสนใจ เพราะคุณจะได้เห็นนักแสดงมากมายมารวมอยู่ในเรื่องเดียว ไม่ต้องแยกไปดูที่ไหนเลย ทั้งหมดถูกรวมไว้ใน ทายาทหมายเลข 1 เรื่องนี้เรื่องเดียว
ส่วนเนื้อเรื่องก็จะเป็นครอบครัวที่สนุก เข้มข้น ผมว่าทุกคนที่ได้ดูก็คงอินตามได้ไม่ยาก แล้วก็ถ้าชอบใคร เชียร์ใคร ก็เชียร์ได้เต็มที่เลยครับ
นิว อัครวินท์ : นอกจากความสนุกแล้ว ละครเรื่องนี้ยังให้ข้อคิดด้วยครับ เพราะมันเป็นละครครอบครัวที่สะท้อนสังคมในปัจจุบันจริง ๆ หลายอย่างที่เกิดขึ้นในเรื่อง ก็เกิดขึ้นในชีวิตจริงของเราเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก มาดูก็จะได้แง่คิดกลับไปแน่นอนครับ ไม่ว่าจะอยู่ในเจนไหนก็ตาม
ทีม คุณากร : ผมว่าละครเรื่องนี้หักมุมเยอะมากครับ ตื่นเต้นตลอดเวลาเลย บางทีเราคิดว่ามันจะไปทางนี้ แต่สุดท้ายกลับพลิกอีกทาง ทำให้คนดูต้องลุ้นไปด้วยกันในทุกตอน แล้วนอกจากความเข้มข้น ยังมีข้อคิดเยอะมากด้วยครับ
ซัน ปัณณธร : ของผมคิดว่า ความเข้มข้นของเรื่องครับ มันไม่ได้มีแค่ดรามาครอบครัว แต่ยังมีปม มีความลับ แล้วก็เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนในบ้านที่ซับซ้อนมาก ทุกตัวละครมีเหตุผลของตัวเองหมด อย่างตัวของตะวันที่ผมเล่น เขาเป็นคนมองโลกในแบบของตัวเอง มีมุมอบอุ่นแต่ว่าก็มีความขัดแย้งในใจเยอะ เหมือนกับหลาย ๆ ตัวละครในเรื่องที่ต้องต่อสู้กับทั้งความคาดหวังของครอบครัวและสิ่งที่ตัวเองอยากเป็น
ผมว่าคนดูจะได้ลุ้นไปกับความจริงที่ค่อย ๆ ถูกเปิดออก แล้วก็จะรู้สึกว่า ไม่มีใครในเรื่องนี้ ‘ดีหมด’ หรือ ‘เลวหมด’ ทุกคนมีด้านที่เข้าใจได้ และนั่นแหละครับที่ทำให้มันน่าติดตาม
พูม่า ภูปภพ : มันน่าสนใจตรงที่เรื่องนี้ไม่ได้มีแค่การชิงอำนาจหรือดรามาในตระกูลนะครับ แต่มันพูดถึง ‘ความเป็นมนุษย์’ ของแต่ละคนด้วย ว่าเมื่ออยู่ในจุดที่ต้องเลือกระหว่างครอบครัวกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อใจ เขาจะตัดสินใจยังไง
อันดามันที่ผมเล่นก็เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ที่อยากพิสูจน์ตัวเอง อยากหลุดจากกรอบเดิม ๆ ของตระกูล ซึ่งผมว่าคนดูจะได้เห็นการปะทะกันระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ในหลายมุม ทั้งแนวคิด วิธีคิด และความเชื่อ มันเลยไม่ใช่แค่ละครครอบครัว แต่เป็นเรื่องของ ‘อำนาจกับหัวใจ’ ที่อยู่ในทุกบ้าน ทุกยุค ทุกคนครับ
ก้อง วิทยา : ผมว่าความน่าสนใจของ ทายาทหมายเลข 1 คือมันไม่ได้มีแค่เรื่องของการแย่งชิงอำนาจหรือมรดกนะครับ แต่ยังพูดถึง ‘คน’ ในหลายมิติ โดยเฉพาะตัวคีตะที่ผมรับบท
คีตะไม่ได้เป็นแค่ซินแสที่ดูดวง แต่เขาอ่านใจคน อ่านพลังของครอบครัวนี้ได้ละเอียด ซึ่งความน่าติดตามคือทุกครั้งที่คีตะปรากฏตัว เหมือนจะมีอะไรบางอย่างถูกเปิดเผยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นความลับ หรือแง่มุมที่ใครบางคนพยายามปิดไว้
นิว อัครวินท์ : เขาถึงบอกว่าอะไร
ทุกคน : อย่าไว้ใจช่อง one

“ทายาทหมายเลข 1” คือละครที่เริ่มต้นด้วยคำถามง่าย ๆ ว่า “ใครจะได้เป็นผู้สืบทอด” แต่เมื่อเรื่องราวคลี่ไปทีละชั้น คำถามนั้นกลับพาเราไปไกลกว่าการชิงตำแหน่ง มันกลายเป็นกระจกที่สะท้อนให้เห็นถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ในครอบครัว และความเปราะบางในหัวใจของมนุษย์ที่ต่างต้องหาทางยืนอยู่ในระบบที่ไม่มีใครชนะได้ทั้งหมด
ในทุกตอน เราได้เห็นความทะเยอทะยานกับความรักอยู่ห่างกันแค่เส้นบาง ๆ สิ่งที่คนหนึ่งทำเพื่อปกป้องอาจกลายเป็นบาดแผลของอีกคนหนึ่ง ทุกการตัดสินใจมีราคาที่ต้องจ่าย และทุกอำนาจล้วนมาพร้อมความโดดเดี่ยว นี่จึงไม่ใช่เรื่องของ “ใครจะได้เป็นที่หนึ่ง” แต่อยู่ที่ว่า “ใครจะยังเป็นคนเดิม” ได้มากแค่ไหนต่างหาก
นักแสดงรุ่นใหม่ทั้งหกได้เข้ามาเติมชีวิตให้กับเส้นเรื่องนี้ ไม่ใช่แค่ด้วยพลังการแสดง แต่ด้วยความเข้าใจในความซับซ้อนของตัวละคร พวกเขาทำให้เราเห็นว่าเบื้องหลังความขัดแย้งคือความรักที่ยังไม่สมบูรณ์ และเบื้องหลังความเข้มข้นคือตัวตนของคนที่ยังอยากได้รับการยอมรับต่าง ๆ นานา
ในท้ายที่สุด “ทายาทหมายเลข 1” อาจไม่ได้แค่บอกเราว่าใครคือผู้ชนะ แต่ทิ้งคำถามไว้เงียบ ๆ ว่า แท้จริงแล้ว “การเป็นทายาท” หมายถึงอะไร? คือการครอบครองสิ่งที่เหลืออยู่ หรือคือการกล้าเริ่มต้นสิ่งใหม่โดยไม่ต้องยึดติดกับอดีต
บางทีสิ่งที่ควรถูกส่งต่อ อาจไม่ใช่อำนาจหรือชื่อเสียง แต่อาจเป็นความเข้าใจ ความกล้าที่จะให้อภัย และหัวใจที่ยังเชื่อในความสัมพันธ์ระหว่างกัน การได้เห็นมุมมองของครอบครัวในหลาย ๆ บริบทที่ในเรื่องอาจเต็มไปด้วยความรุนแรง การหักหลัง และความเจ็บปวด แต่สุดท้ายแล้ว “ครอบครัว” นั่นแหละ ที่จะโอบอุ้มความเป็นเราได้ดีที่สุด อย่างที่ทะเลหลวงพูดกับน้อง ๆ บ่อย ๆ ถึงความหมายของชื่อกรุ๊ปไลน์ที่ผู้เป็นพ่อตั้งชื่อกลุ่มว่า “รวมกันเราอยู่” นั่นไงล่

ติดตามชม “ทายาทหมายเลข 1”
ทุกวันพุธ – พฤหัสบดี เวลา 20:30 น.
รับชมทางสดทางทีวีช่องวัน 31
ดูออนไลน์แอป oneD ที่เดียว
