การเป็นนักแสดงและศิลปินนั้น นอกจากทักษะที่จำเป็นสำหรับการแสดงและการเป็นซูเปอร์สตาร์แล้ว สิ่งที่จะผลักดันให้นักแสดงและศิลปินสามารถทำงานต่าง ๆ ได้เต็มประสิทธิภาพมากขึ้น คือระบบการจัดการที่แข็งแรงในเบื้องหลัง เป็นระบบ แยกส่วนกันดูแล เพื่อให้นักแสดงได้นำเสนอทักษะของตัวเองอย่างเต็มที่ ซึ่งระบบที่เป็นที่ทำกันทั่วไปในอุตาหกรรมต่างประเทศ คือ ระบบ Three Pillars หรือแบ่งแยกงานออกเป็นสามเสา เพื่อค้ำจุนนักแสดงนั่นเอง
ระบบ Agency ที่เป็นมากกว่าการหาเด็กมีแววและส่ง Profile สำหรับ Casting
หากรูปแบบที่หลายคนคุ้นชินกัน ก็คือ “แมวมอง” ไปส่องหาเด็กที่มีแววมารวบรวมเข้าด้วยกันไว้ หากเป็นสมัยก่อนก็คือตามย่านการค้าที่วัยรุ่นชอบไปเที่ยวกัน ส่วนในสมัยปัจจุบันคือการส่องดูตามบัญชีโซเชียลมีเดีย แมวมองเมื่อต้องการทำให้การดูแลนักแสดงเป็นระบบมากขึ้น ก็จะพัฒนาการดูแลไปเป็นระบบ Agency อย่างเป็นทางการ นอกจากจะทำในลักษณะเป็นบริษัทที่จดทะเบียน เสียภาษี และมีระบบการจัดการที่เป็นระบบแล้ว เอเจนซียังเป็นส่วนขับเคลื่อนสำคัญในอุตสาหกรรมอีกด้วย
เนื่องจากเอเจนซีจะเป็นด่านแรกที่ได้พบเจอนักแสดงที่มีทักษะพอจะไปต่อได้ ดังนั้นหน้าที่หลักของเอเจนซีคือการประเมินทักษะของบุคคลหน้าใหม่คนนั้น ว่าจะพัฒนาไปเป็นนักแสดงหรือศิลปินได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งจะนำไปสู่การตั้งมูลค่าของคนคนนั้นเพื่อส่งหน้าโปรไฟล์ไป Casting ให้เหมาะสมต่อการรับงานในระดับโปรดักชัน หรือค่ายที่เหมาะสม ซึ่งใน Hollywood ก็จะเป็นที่มาของคำว่า นักแสดง A-List หรือ B-List ที่จะนำไปสู่คำที่คุ้นเคยกันดีอย่าง หนังเกรดเอ หรือหนังเกรดบีต่อไป โดยการแบ่ง Tier ตามมูลค่าของทักษะ ไม่ใช่เพื่อการลดทอนคุณค่าของบุคคลหรือเนื้องาน แต่คือการจัดนักแสดงและศิลปินให้รับงานที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย และกำลังทุนของการผลิตให้ได้มากขึ้น ที่ใน Agency Market ของอุตสาหกรรมต่างประเทศจะมีฐานข้อมูลแลกเปลี่ยนโปรไฟล์ของนักแสดงทุกคนในอุตสาหกรรมอยู่บนเว็บไซต์ ไว้สำหรับลงหางานกันโดยเฉพาะ
ซึ่งงานของเอเจนซีนั้นรวมไปถึงการดูแลในเรื่องสัญญาจ้าง ค่าตัว และหากผลงานสร้างชื่อก็จะสร้างเครดิตให้กับตัวเอเจนซีเอง ไปสู่การรับรางวัลของนักแสดงที่จะต่อยอดได้ต่อไป
เสาของการ PR ที่แบ่งเบาภาระของนักแสดงต่อสาธารณชน
เสาต้นต่อมาที่มีความสำคัญคือฝ่าย Public Relation หรือที่เรียกสั้น ๆ กันว่า PR แน่นอนว่าเป็นฝ่ายที่ทุกบริษัทคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี แต่ในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ขึ้นในระดับสากล PR ไม่ใช่เพียงฝ่ายหนึ่งในบริษัทเท่านั้น หากแต่สามารถเปิดเป็นบริษัทแยกที่ทำงาน PR โดยเฉพาะ รับการบริหารและจัดการภาพลักษณ์ให้กับองค์กรต่าง ๆ และรวมไปถึงการเป็นบริษัท PR ที่ดูแลนักแสดงและศิลปินอีกด้วย สำหรับนักแสดงและศิลปินในไทยส่วนใหญ่ที่มีค่ายหรือเอเจนซีกำกับดูแลเรื่องภาพลักษณ์ให้อยู่แล้ว ก็จะมีฝ่าย PR เสริมจากเอเจนซีเอง แต่หากเป็นนักแสดงหรือศิลปินอิสระที่ดูแลตนเอง ในต่างประเทศจะจ้างบริษัท PR ข้างนอกเหล่านี้ให้ดูแลภาพลักษณ์ให้อีกทีหนึ่ง
ความสำคัญของ PR คือการกำหนดทุก ๆ อย่างที่จะต้องนำเสนอต่อสาธารณชน การกำหนดว่านักแสดงหรือศิลปินคนนั้น ๆ จะถูกพูดถึงผ่านสื่อต่าง ๆ แบบไหน ทำแผนเสนอชื่อเพื่อไปออกงานต่าง ๆ สัมภาษณ์ตามรายการต่าง ๆ แม้กระทั่งตัดสินใจว่านักแสดงหรือศิลปินนั้น ๆ ควรมีบัญชีโซเชียลมีเดียหรือไม่ หากมีจะต้องโพสต์หรือไม่โพสต์อะไรลงไปบ้าง เพื่อเป็นการควบคุมภาพลักษณ์และกระแสของนักแสดงหรือศิลปินคนนั้นให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ
นอกจากนั้น บริษัท PR ก็จะต้องรับผิดชอบต่อกระแสต่าง ๆ ในทางลบที่เกิดขึ้นอีกด้วย การจัดแถลงข่าวเพื่อสยบประเด็นดราม่า การร่างสคริปต์ที่เหมาะสมต่าง ๆ ก็รวมอยู่ในภาระงานของ PR เช่นกัน ดังนั้น หากแคมเปญการโปรโมตนักแสดงและศิลปินคนไหนมีผลออกมาในทางลบ ก็จะพบเจอกังการฟ้องร้องบริษัท PR ได้ในต่างประเทศเช่นกัน
ภาระงานเหล่านี้ไม่ควรผูกกับ Manager เพียงหนึ่งเดียว
สิ่งที่ทำให้เกิดเป็นประเด็นถกเถียงและสร้างอุปสรรคในการจัดการนักแสดงและศิลปินในบางประเทศ คือการที่มอบอำนาจการดูแลนักแสดงและศิลปินที่หนัก ซับซ้อนไปให้ “ผู้จัดการ” เป็นคนดูแลทุก ๆ อย่าง ซึ่งตามปกติแล้ว เสาหลักสุดท้ายอย่าง Manager นั้นจะมีหน้าที่เพียงแค่จัดการตารางนัดหมาย ค่าใช้จ่าย แบ่งตารางเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวให้นักแสดงและศิลปินเหล่านั้น รวมไปถึงการดูแลพาหนะสำหรับเดินทางและระบบรักษาความปลอดภัยด้วย โดยในอุตสาหกรรมต่างประเทศนั้น บริษัทรักษาความปลอดภัยที่มีมาตรฐานสูงก็จะมีบริการการจัดการ์ดเพื่อดูแลศิลปินโดยเฉพาะ เป็นเนื้องานที่ Manager ของนักแสดงและศิลปินจะเป็นคนจัดการนั่นเอง
แต่ถึงกระนั้นด้วยขอบเขตตลาดที่ค่อนข้างแคบในไทย ตลอดจนการผลักดันปลุกปั้นนักแสดงและศิลปินสักคนนั้นเป็นการลงทุนที่ค่อนข้างสูง การพบเจอบุคคลที่ “หน้าตาดี” ไม่ได้หายากเหมือนสมัยก่อนแล้ว การรวมข้อมูลไว้เอเจนซีที่ไม่ได้จดทะเบียน หรือค่ายเล็ก ๆ ที่ไม่ได้มีผลงานโด่งดังจนมีเครดิตจึงเกิดขึ้นและพบเห็นได้ทั่วไป ทำให้การกระจายเนื้องานไม่ชัดเจน ไม่สามารถแยกมูลค่าแท้จริงออกจากทักษะและยอด Follower บนโซเชียลมีเดียได้ ทั้งยังรวบอำนาจไว้ที่การตัดสินใจของคนที่อ้างตัวเป็น “ผู้มีอำนาจจัดการ” แทนนักแสดงหรือศิลปินที่มีแววคนนั้น ๆ ให้ผูกขาดอยู่ที่ตัวเขาแต่เพียงผู้เดียว โดยลดการจัดการที่ควรเป็นระบบ ที่ควรใช้ฐานข้อมูล และสัญญาที่มีลายลักษณ์อักษร ให้เหลือเพียงคำสัญญาปากเปล่า และเส้นสายในอุตสาหกรรมที่ไม่รู้ว่ามีจริงหรือไม่ ทั้งยังเปิดช่องให้เกิดการทุจริตและล่วงละเมิดสิทธิ์ของนักแสดงและศิลปินหน้าใหม่ได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
แม้ระบบ Three Pillars จะดูเป็นภาพใหญ่ที่ใช้การลงทุนที่เสี่ยงเกินไป ในการจะต้องดูแลศิลปินและนักแสดงที่ก็ไม่รู้ว่าจะดังจริงหรือไม่สำหรับประเทศที่ตลาดยังเล็ก แถมมีความเสี่ยงสูง แต่กระนั้นระบบ Three Pillars ก็เป็นระบบการแจกแจงงานที่มีประสิทธิภาพในอุตสาหกรรมบันเทิงสากล สามารถส่งนักแสดงและศิลปินให้ได้งานตรงกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า เมื่อผ่านการประเมินและคัดสรรอย่างเป็นระบบ
นอกจากนั้นการที่เหล่านักแสดงและศิลปินรวมตัวกันเป็น “สหภาพแรงงานในอุตสาหกรรมบันเทิง” เช่น SAG-AFTRA ยังช่วยคานอำนาจ ปกป้องสิทธิ์ของตนเองในฐานะแรงงานในอุตสาหกรรมบันเทิงที่ควรได้รับค่าแรงที่เหมาะสม การจ้างงานในสัญญาที่เป็นธรรม ก็ช่วยให้อุดช่องโหว่การทุจริตและเอาเปรียบนักแสดงจากค่ายหรือสตูดิโอใหญ่ ๆ ได้อีกด้วย ผ่านการร่วมกัน Strike เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ดังที่เกิดขึ้นมาแล้วผ่านการประท้วงใหญ่ใน Hollywood ช่วงต้นปี 2024 – 2025 ที่ผ่านมานี้นั่นเอง

