“ฮ่อ..เจี๊ยะ” ทันทีที่เพลงนี้ดังขึ้นบน TikTok เมื่อช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา หลาย ๆ คนอาจจะอยากลุกขึ้นมาโยกย้ายส่ายสะโพกไปตามจังหวะเพลงสุดเร่งเร้านี้กันบ้าง เพราะเพลงไตเติ้ลเข้ารายการ ‘ครัวคุณต๋อย’ นี้มันช่างสนุกสนานเสียเหลือเกิน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการคล้อยตามนั้นมาจากความผูกพันของตัวรายการ และวิถีชีวิตผู้คนที่เชื่อมโยงเข้าหากันผ่านหน้าจอโทรทัศน์ในช่วงเวลาบ่าย ๆ ของช่อง 3 ที่ไม่ว่าจะเปิดโดยคนที่บ้าน เจอตามร้านค้าที่ได้แวะเวียนไป หรือเปิดผ่านหน้าจอโทรทัศน์ในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วบ้านทั่วเมือง สิ่งนี้ก็อาจเป็นเครื่องยืนยันถึงความใกล้ชิดกับผู้ชมอย่างกลมเกลียวเป็นเนื้อเดียวกัน

ไม่ใช่แค่สิ่งที่น่าจดจำเหล่านี้ รายการตอบคำถาม 4 ตัวเลือกสุดโด่งดังในอดีตอย่าง ‘เกมเศรษฐี’ หรือรายการพูดคุยสบาย ๆ ที่หลังจบรายการต้องแจกภาพขนาดใหญ่ให้แขกไปแขวนไว้ที่บ้านอย่าง ‘ทไวไลท์โชว์’ ก็ยังเป็นกลิ่นอายของรายการโทรทัศน์แห่งยุคสมัยที่ผู้คนล้วนคุ้นเคย และผู้อยู่เบื้องหลังของเนื้อหาเหล่านี้คือชายที่อยู่ตรงหน้าเรา ‘ไตรภพ ลิมปพัทธ์’ ผู้ร่วมก่อตั้งและประธาน บริษัท บอร์น แอนด์ แอสโซซิเอทด์ จำกัด

เขาเพิ่งอัดรายการ ‘Today Show’ เสร็จไปหนึ่งเทป ก่อนจะพักสักครู่ แล้วเดินมานั่งคุยกับเราบนฉากอีกฝั่ง ที่บรรยากาศดูคุ้นเคย เพียงแต่วันนี้ไม่ได้ถ่ายทำ เราจึงขอจองพื้นที่ เอาเก้าอี้มานั่งคุยกับเขาแบบสบาย ๆ เพื่อขุดคุ้ยเรื่องราวการทำรายการโทรทัศน์ตั้งแต่ยุคแรกจนถึงตอนนี้ รวมถึงค้นหาแนวคิดการทำธุรกิจในสัมมาอาชีพที่เขาไม่ได้รัก แต่ตั้งใจทำทุกวินาทีตามตำแหน่งหน้าที่ได้อย่างดีที่สุดโดยไม่มีตัวช่วยให้ใช้ และสิ่งทำดำเนินอยู่ก็ยังไม่ใช่คำตอบสุดท้าย เพราะเขายังมีหลากหลายเส้นทางที่เขาจะเดินต่อไปบนการทำงานนับจากวันนี้

BORN this way.

“ทำไมถึงตั้งชื่อบริษัทว่า ‘Born’ เราเปิดบทสนทนากับอาต๋อยด้วยความสงสัย เขาตอบว่ามันสื่อถึงการเกิดขึ้นของบริษัทใหม่ พร้อมกับการทำรายการแรกเกมโชว์แรกของสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 อย่าง ‘เอาไปเลย’ รายการที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกของคนที่มองการทำงานตรงนี้เป็น ‘บทบาทหน้าที่’ อย่างแรงกล้า ก่อนจะมีรายการอย่าง ‘เกมละครปริศนา’ หรือ ‘เสาร์นี้มีอะไร’ ตามมา

“มันเป็นความรู้สึกของคนๆ นึงที่ไม่ได้อยากจะทำงานวงการนี้เลย แต่สถานการณ์มันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ จนในที่สุดต้องมาทำบริษัทของตัวเอง ผมไม่ได้คิดอยากจะทำ ผมไม่ได้อยากอยู่วงการนี้ ไม่ได้ชอบ แต่เราต้องมาทำ คิดว่ามันก็คงเกิดแหละมั้ง ก็เลยใช้ชื่อนี้”

ชีวิตที่จับพลัดจับผลูมาเข้าวงการบันเทิงของเขาเริ่มต้นมาจากการไปร่วมรายการเกมโชว์ ‘ล้มเค้า’ กับครอบครัว จากคำสัญญาที่ให้ไว้กับน้องสาว ว่าด้วยการสอบครั้งหนึ่งของเธอที่คว้าอันดับหนึ่งของประเทศไทยมาได้ น้องสาวของอาต๋อยจึงอยากขอรางวัลจากพี่ชายผ่านการชวนไปออกรายการเกมโชว์ เพราะสมาชิกผู้ร่วมทีมที่ต้องเป็นพี่น้องกันขาดอยู่ 1 คนพอดี เขาเลยได้เข้าไปร่วมเล่น

“ก่อนจบรายการช่วงสุดท้าย กล้องอยู่อย่างนี้นะ (หันมองไปทางช่างภาพ) แล้วผมก็ถามพิธีกรว่า “ถ้าผมจะพูดกับทางบ้าน ต้องพูดกับกล้องไหน” พิธีกรก็งง เพราะคนสมัยนั้นจะไม่พูดแบบนี้ “กล้องที่มันมีไฟแดงไง” ผมก็พูดแบบ “คุณยาย คุณยาย ต๋อยออกทีวีแล้วนะ” แค่นั้น ดังเลยครับ ความไม่ได้ตั้งใจของเรากลายเป็นคำพูดที่สำคัญมากเลย”

ต๋อยทำครัว (คุณต๋อย)

“ผมมักจะเป็นหัวหอกที่ได้ทำอะไรแรก ๆ ในช่อง 3 อยู่บ่อย ๆ” อาต๋อยยืนยันถึงความโดดเด่นในการทำรายการโทรทัศน์ของตัวเองในแต่ละยุค เพราะรายการที่ตัวเองทำจะต้องไม่เคยมีมาก่อนในช่อง และทุกครั้งที่เขาได้รับโอกาสดี ๆ เหล่านั้น เราในฐานะจะเห็นได้ทันทีเลยว่าเขาทำมันออกมาได้ดีเสมอ

ตัวอย่างที่ชัดเจนในยุคนี้ของรายการในเครือที่เขาดูแลอยู่คือ ‘ครัวคุณต๋อย’ รายการอาหารที่สร้างกระแสความนิยมให้กับเวลาช่วงบ่ายวันธรรมดาได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งก่อร่างสร้างตัวมาจากไอเดียเล็ก ๆ ในรายการ ‘ทูไนท์โชว์’ ช่วง Amazing ต่างแดน ที่ณวัฒน์ อิสรไกรศีล จะไปท่องเที่ยวต่างประเทศตามพื้นที่ต่าง ๆ แล้วเก็บภาพมาเสนอในรายการ พร้อมทั้งในบางทริปยังเอาของแปลกจากที่นั้น ๆ เข้ามาให้พิธีกรที่เหล่าอย่างโก๊ะตี๋-เจริญพร อ่อนละม้าย และเอ๊าะ-กีรติ เทพธัญญ์ ได้กินด้วย

เมื่อช่วงท่องเที่ยวกลายเป็นช่วงกิน เลยมีชื่อของรายการอาหารตอนกลางวันสุดติดหูมาใช้ล้อเล่นด้วยความคุ้นเคยกัน นั่นคือ ‘ครัวคุณหรีด’ ของหรีด-รพีพรรณ เหลืองอร่ามรัตน์ ที่พอกลายมาเป็นช่วงกลางคืน เลยล้อชื่อเป็น ‘ครัวคุณต๋อย’ จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดความคิดว่า “งั้นเรามาทำรายการอาหารกันดีมั้ย” ทุกคนเห็นด้วย รายการนี้ที่มาจากชื่อล้อเล่นกันเฉย ๆ เลยค่อย ๆ กลายเป็นรายการจริงขึ้นมา

“สมัยก่อนถ้าย้อนกลับไปก่อนมีครัวคุณต๋อย รายการอาหารไม่เคยมีพิธีกร 4 คนมาก่อนเลยนะ ส่วนมากจะเป็นคนเดียว แล้วก็จะเป็นพิธีกรที่เป็นผู้ชำนาญการด้านอาหารกันเสียส่วนใหญ่ แต่ผมเริ่มทำรายการชื่อครัวคุณต๋อย โดยไม่มีพิธีกรคนไหนเป็นเชฟเลย นายประวิตร (ประวิตร มาลีนนท์) ก็บอกผมว่า เฮ้ย พวกคุณไม่มีความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้เลย คุณจะทำรายการนี้ได้ไง ผมบอกนายครับ ผมมีลิ้นนะครับ ลิ้นผมนี่ชั้นเลิศเลย” อาต๋อยเล่าสิ่งนี้ด้วยความมุ่งมั่น

จากไอเดียง่าย ๆ นำมาสู่ต้นทางของรายการโทรทัศน์ที่ออกอากาศ 5 วันต่อสัปดาห์ ตั้งแต่วันจันทร์ถึงศุกร์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เขาขอไปยังคุณประวิตร และให้สัญญากันว่าหากได้ทำจริง ๆ แล้วภายใน 3 เดือนไม่รุ่ง ค่อยมาคุยกัน แต่อาต๋อยก็เชื่อมั่นในพลังของตัวรายการ และบอกกลับไปว่าหากภายในเดือนเดียวมันยังไม่ใช่ เขาจะจัดการตัวเอง

และสุดท้ายเราก็น่าจะเห็นแล้วว่าผลลัพธ์ของความตั้งใจนั้นเป็นอย่างไร เพราะจนถึงปัจจุบันรายการนี้ก็ออกอากาศติดต่อกันมากว่า 11 ปีแล้ว

เมื่อสูตรลับถูกจับมาเปิดเผย

จุดแข็งที่สำคัญของรายการ ‘ครัวคุณต๋อย’ คือการนำร้านอาหารดัง ๆ มาออก และเอาสูตรอาหารที่เป็นข้อมูลลับของแต่ละร้านมาเปิดเผยให้ผู้ชมได้รู้กัน ซึ่งหากมองกันในแง่รูปธรรม สิ่งนี้ดูจะเป็นการ Distupt ความเฉพาะตัวของร้านได้ แต่ด้วยเหตุผลของอาต๋อยที่บอกกับแขกคนแรกอย่าง ‘เจ๊ง้อ’ จากร้านครัวเจ๊ง้อ ทำให้แขกรับเชิญยอมมาออกรายการพร้อมสูตรอาหารได้แบบเต็มใจ

“เราบอกเจ๊ง้อว่า ถ้าเกิดเจ๊ง้อเก็บสูตรนี้ไว้ เจ๊ง้อตายสูตรนี้จบนะ อันที่สองถ้าเก็บสูตรนี้ไว้ มันก็อาจจะไปอยู่แค่ที่ร้าน แต่เจ๊ง้อก็จะไม่มีชื่อในยุทธจักรนะ ว่าเจ๊ง้อคือผู้รังสรรค์อาหารที่เก่งที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทยและเป็นผู้ที่เอาสูตรที่มอบให้กับคน

แล้วเจ๊ง้อรู้ไหมว่าเวลาที่เขาได้ยินว่ากินอันนี้อร่อย แล้วเจ๊ง้อเป็นคนทำ เวลาคนเขาดูรายการเสร็จมันมีสามประเภท ประเภทแรกดูเสร็จแล้วก็ไปทำกินที่บ้านเขา ประเภทที่สองคือเขาอยากกิน เขาก็จะมากินที่ร้านเจ๊ง้อ เพราะเจ๊ง้อทำอร่อย หรือประเภทสุดท้าย เขาก็อาจจะเอาสูตรไปเปิดร้านและทำทุกอย่างเหมือนเจ๊ง้อ แต่เขาต้องใช้เวลาอีกหลายสิบปีกว่าจะดังเหมือนเจ๊ง้อ ถึงตอนนั้นเจ๊ง้อลาไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เจ๊ง้อก็ขี้เกียจฟัง “ลื้อพูดเยอะ พูดมากอะ” สุดท้ายเจ๊ง้อก็มาออกรายการ”

สิ่งนี้กลายเป็นใบเบิกทาง ในฐานะที่ปรมาจารย์ด้านอาหารยุคนั้นได้มาเปิดสูตรลับสุดเด็ดในรายการ ทำให้ร้านอาหารหลาย ๆ ร้านก็อยากมาออกรายการแบบนี้บ้าง

“จนถึงวันนี้เรากับเจ๊ง้อยังไปมาหาสู่กัน ยังรักใคร่กลมเกลียว ทุก ๆ ปีผมจะเชิญเจ๊ง้อมาออก 1 เมนูตลอด 10 กว่าปีแล้ว แกโดนเยอะแล้วนะฮะ แกโดนเยอะแล้ว” หลังจากประโยคนี้ทุกคนก็หัวเราะร่วนกับอารมณ์ขันของอา

จากวันนั้น ถึงวันนี้ของ ‘ครัวคุณต๋อย’

แน่นอนว่ากว่าจะเป็นรายการ ‘ครัวคุณต๋อย’ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การลองผิดลองถูกคือสิ่งสำคัญที่สุด เพราะกว่าจะรู้ว่าแบบไหนที่ใช่ และแบบไหนคนน่าจะชอบ จำเป็นต้องตกผลึกไอเดียกันพอสมควร

ตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้คือเครื่องแต่งกายของพิธีกรทั้ง 4 คน จากการออกอากาศวันแรกที่ตั้งใจจะให้พิธีกรทุกคนสวมใส่ชุดเชฟ ตัดชุดมาเรียบร้อยแล้ว กำลังจะใส่ออกรายการ แต่อาต๋อยกลับยกเลิกไอเดียนี้ด้วยเหตุผลที่ว่า “เราไม่ใช่เชฟนะ ขนาดเราไม่ใส่ชุดเชฟยังเป็นตัวตลกในวงการอาหารอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเราใส่ชุดเชฟจะยิ่งเป็นตัวตลกตัวจริงเลยนะ เราใส่ชุดที่เป็นเรานี่ล่ะ แล้วเอาตัวตนที่เป็นนำเสนอสิ่งดี ๆ ให้กับผู้คนดีกว่า”

ภาพจาก BornTvOfficial

นับจากวันนั้น ชุดที่พิธีกรแต่ละคนใส่ก็จะสะท้อนตัวตนในฐานะผู้นำเสนอเรื่องราวได้อย่างไม่เคาะเขิน จากตอนแรกของรายการที่ทุก ๆ คนจะใส่สูทคลุมกึ่งภูมิฐานกึ่งลำลอง คุณณวัฒน์ก็แต่งตัวไปทางหนึ่ง เน้นแนวทางเป็นชุดฮาวาย ส่วนคุณเอ๊าะก็แต่งตัวไปในทางฮิปฮอปหน่อย ๆ ส่วนคุณโก๊ะตี๋ก็เน้นแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแฟชันแบบแจ็คเก็ตคลุมตัว และอาต๋อยใส่เสื้อคาร์ดิแกน ทั้งหมดนำเสนอเอกลักษณ์ของพิธีกรได้เป็นอย่างดี และกลายเป็นภาพจำของการแต่งตัวของแต่ละคนไปแล้ว

แม้แต่เอกลักษณ์อื่น ๆ ภายในรายการ เช่นการอ่านจดหมายจำลองที่เขียนขึ้นเพื่อดำเนินเรื่องราวภายในรายการในช่วงต้น หรือคำพูดติดปากอย่าง “ไม่กินถือว่าผิด” และ “10 คะแนนเต็ม 10 คะแนนเต็ม 10 คะแนนเต็ม” หรือเพลงประจำรายการสุดม่วนจอยที่กลายเป็น Meme ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ภาพจำของผู้คนต่อรายการมีมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน

ตลอด 11 ปีที่ผ่านมา รายการครัวคุณต๋อยเติบโตอย่างมั่นคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และแตกกิ่งก้านสาขาของการนำเสนอเนื้อหาไปในหลายรูปแบบที่เป็นไปได้ ทั้งนิตยสาร พ็อกเก็ตบุ๊ค แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ งานอีเวนต์ตามต่างจังหวัด จนถึงศูนย์อาหารขนาดใหญ่

“มันเจริญเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ มันมีรากแก้วแล้ว ก็ขยายรากฝอยออกไป เราก็มองว่าตรงนั้นมันดูดน้ำได้มั้ย เฮ้ย มันมีน้ำนี่หน่า บางทีรากฝอยที่แผ่ไปมันกลายเป็นรากแก้วใหญ่เบ้อเริ่มจริง ๆ แล้วมันจะขยายออกไปเรื่อย ๆ ต่อไปอีกได้”

‘แนวคิด’ คือสิ่งสำคัญของการทำรายการ

ไม่ใช่แค่รายการครัวคุณต๋อยเท่านั้น รายการอื่น ๆ ก็นำเสนอความแข็งแรงของ ‘แนวคิด’ ได้เหมือน ๆ กัน ทั้งการแจกภาพใหญ่ ๆ ให้ดาราหรือผู้ร่วมรายการนำกลับบ้านในรายการทไวไลท์โชว์ หรือการแจกอุปกรณ์ทำกินให้กับแขกรับเชิญในรายการฝันที่เป็นจริง วิธีคิดเรื่องกิมมิกก็เป็นจุดขายสำคัญของการสร้างสรรค์คอนเทนต์

มากไปกว่านั้น แนวคิดแฝงของการทำรายการก็ยังเป็นสิ่งที่ทำให้ภาพลักษณ์ของรายการแข็งแรงขึ้นได้ด้วย อย่างเช่นแนวคิดการหยิบตลกคาเฟ่มาโชว์บนเวทีรายการ ‘ทไวไลท์โชว์’ เพราะพื้นที่ของตลกคาเฟ่นั้นมีเพียงในร้านคาเฟ่เท่านั้น อาต๋อยจึงอยากให้พื้นที่การแสดงตลกแบบนี้ยังคงมีอยู่ เขาจึงมอบพื้นที่หนึ่งช่วงในรายการสำหรับให้ตลกหลากคณะได้มาโชว์กัน

“ผมไปคุยกับพี่จุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก เขาสนิทและรักผมมาก สำหรับผมเขาเป็นนักแสดงตลกที่เก่งที่สุดคนหนึ่ง แล้วก็เชิญเขามาออกรายการ ถ้าจำได้สมัยนั้นตลกคาเฟ่จะไม่ใส่สูท แต่งตัวตามสบายขึ้นเล่น ผมก็คุยกับพี่จุ๋มจิ๋มว่าต้องใส่สูทขึ้นเล่นในรายการ เขาบอกไม่มีใครทำกัน ผมเลยบอกว่ารายการผมต้องทำเพื่อยกระดับวงการตลก เขาก็เลยโอเค ตั้งแต่นั้นมาตลกคาเฟ่ที่มาออกรายการทุกคนต้องใส่สูท”

ธุรกิจสื่อในมุมมองของ ‘ไตรภพ ลิมปพัทธ์’

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา อาต๋อยผ่านพายุหมุนในวงการสื่อมาหลายระลอก แต่เขาผ่านมาได้ด้วยมุมมองของทางพุทธศาสนา จากความมั่นใจ ‘ปริยัติ’ หรือวิชาความรู้ที่มีอยู่ในตัวในฐานะสุตมยปัญญาที่เกิดขึ้นจากการอ่าน การฟัง การดูหลาย ๆ สิ่งที่ผ่านเข้ามา ก่อนจะไปต่อในฐานะจินตมยปัญญา หรือการเอาความรู้ทั้งหมดไปคิด พินิจ และไตร่ตรอง และจบด้วยภาวนามยปัญญา หรือการลงมือปฏิบัติจริงที่ทำให้ชีวิตเจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น หลักการเหล่านี้คือวิธีคิดสำคัญที่เขาใช้มาเสมอในการทำงานทุก ๆ งาน รวมถึงการทำงานสื่อตลอดระยะเวลาหลายสิบปี

ช่วงเวลาสำคัญที่น่าพูดถึงคือการที่อาต๋อยเข้าไปร่วมเป็นพันธมิตรของสถานีโทรทัศน์ ITV จากการเพิ่มทุนจดทะเบียน 300 ล้านหุ้นในปี 2546 ทำให้เขาได้เข้าร่วมพัฒนาและปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลายแง่มุมของสถานีในช่วงเวลานั้น จนทำให้จากอันดับท้ายของความนิยมในหมู่สถานีโทรทัศน์ในช่วงเวลานั้น กลายมาเป็นอันดับที่ 3 ได้

ในฐานะผู้ร่วมบริหารคนใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในช่วงนั้น การทำงานแต่ละฝ่ายก็คงจะรู้สึกระส่ำระส่ายพอสมควร เพราะทุกคนต่างไม่รู้ว่าจะต้องทำงานกันอย่างไรต่อไป แต่การเข้าไปทำงานของอาต๋อยนั้นคือความตั้งใจที่อยากพัฒนาทุกอย่างให้แข็งแรงขึ้นจริง ๆ

“ก่อนผมจะเข้าไปทำงาน ฝ่ายข่าวที่จะเป็นฝ่ายที่แข็งที่สุด และเขาก็คิดว่าผมจะต้องไปเปลี่ยนโน่นทำนี่ พอถึงวันก็เรียกฝ่ายข่าวประชุมแล้วก็พูดว่า “โอ๊ย เราเหมือนกันนะ เราเหมือนกัน” เขาก็ว่าคืออะไร “เราอยากทำให้ไอทีวีมันดีนะ เราก็คิดว่าคุณก็เป็น มีคนไหนไม่อยากให้ ITV ดีบ้าง” วันนั้นเราก็เข้าไปเพื่อบอกทุกคนเพียงว่าทำให้ไอทีวีดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตรงไหนไม่ดีก็แก้ไขกันนะ ตรงไหนดีเราก็ทำต่อไป ตกลงไหม เขาก็โอเค งั้นโอเค แค่นี้ เลิกประชุม เราก็แล้วก็ค่อย ๆ ส่งแผนงานต่อไป”

จุดเด่นของการพัฒนาคือการเกิดขึ้นของรายการร่วมมือร่วมใจ, Hot News รวมถึงรายการสายบันเทิงอีกมากมายหลายรายการที่เกิดขึ้นด้วยแนวคิด ‘ไอทีวี ไม่ดู ไม่ได้’ ที่มีงานโปรโมตด้วยการเอาพิธีกรของหลาย ๆ รายการมาแต่งชุดสีแดงสดขึ้นโปสเตอร์กัน

รวมถึงการพัฒนางานเบื้องหลัง อย่างสตูดิโอข่าวที่ไม่ได้กว้างขวางมาก หรือโต๊ะข่าวที่ไม่สวยนักในสายตาอาต๋อย เขาก็จัดการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้น ซึ่งอย่างที่บอกว่าองค์ประกอบเหล่านี้ต่างทำให้สถานีได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งวันสุดท้ายของสถานีที่มีการประกาศข่าวกันจนถึงเวลาเที่ยงคืน เขาก็อยู่ที่สถานีเพื่อให้กำลังใจลูกน้องทุกคนในวันนั้น อีกทั้งยังหามาตรการในการดูแลพนักงานจนถึงที่สุด

“คนก็ห่วงผมว่าจะนอนหลับไหม ผมกลับไปบ้าน โอ้โห เหนื๊อยเหนื่อย นอนหลับครอก ตื่นเช้ามาเมียผมก็ถามว่าเป็นไงบ้าง แล้วเขาจะต้องทำตัวอย่างไรเราก็บอก ไม่ต้องทำตัวอย่างไร ทำให้ดีกว่าเดิม ว่าเคยทำอย่างงี้ก็ทำให้ดีกว่าเดิมหรือเหมือนเดิม พนักงานเองผมก็บอกพวกเขาว่าไม่เป็นไร ทำไปตามปกติ ไม่ต้องกังวล ใครเคยทำอะไรก็ทำ แล้วก็ทุกคนก็ได้เงินเดือนตามปกติทุกเดือน ไม่มีลดเงินเดือนสักบาท ไม่มีเลย์ออฟเลย”

แม้จะเต็มไปด้วยเรื่องน่าเครียดมากแค่ไหนในการทำงาน แต่สำหรับอาต๋อยแล้ว หากเราทำทุกอย่างไว้ดีตั้งแต่แรก และมองอนาคตดี ๆ ได้ การคาดการณ์อนาคตที่น่าจะเกิดขึ้นก็อาจจะไม่ใช่เรื่องยากก็เป็นได้

“ไม่รู้คุณจำได้ไหม ตอนที่อยู่ดี ๆ จากทีวีมี 4-5 ช่อง แล้วเปลี่ยนเป็น 25 ช่อง แล้วผมก็เป็นคนเดียวที่ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ไปดูข่าวเก่าๆ ได้เลย ผมโดนด่าอยู่คนเดียว แต่ตอนนี้เป็นยังไงบ้างครับท่านผู้ชม อีก 4 ปีจะหมดสัญญาแล้ว จะมีใหม่มาอีกมั้ย 25 ช่อง ผมคาดการณ์ไว้หมดแล้ว

ประเทศเราเล็กแค่นี้เอง มีผู้ชมแค่นี้ แล้วเค้กสำหรับผู้ชมเท่านี้เค้กก็ต้องมีแค่นี้สิ เราไม่ได้มีคนดูเยอะเท่าสหรัฐอเมริกาหรือจีนซึ่งเค้กจะใหญ่กว่า อยู่ดี ๆ จากมีอยู่ 4- 5 ช่องรายล้อมเค้กก้อนนี้อยู่แล้วปึ้ง! (ทำมือขยายวงกว้างออก) เป็น 20 กว่าช่องแล้วเค้กเท่าเดิม มันก็เลยเจ๊งอย่างที่เห็น”

‘ทฤษฎีขาเก้าอี้’ ของอาต๋อย

จากที่เราเล่ามาว่าวิธีมองอนาคตของการทำงานอาต๋อยนั้นค่อนข้างมีหลักมีการ และสำหรับเขา เรื่องวิกฤตการณ์ต่าง ๆ ที่เคยเจอนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัวที่คาดการณ์ไม่ได้ เพราะในชีวิตมนุษย์แล้ว สิ่งเหล่านี้คือเรื่องธรรมดาที่เราต้องเจอ แม้จะเป็นการต่อสู้ ดิ้นรนที่ยากเย็นขนาดไหน มันก็ยังเป็นเรื่องที่ทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้

‘เก้าอี้’ คือสิ่งที่เขายกขึ้นมาเป็นตัวอย่างของการใช้ชีวิตในทุกแง่มุม ไม่ใช่แค่การทำงานเท่านั้น เรื่องครอบครัว หรือเรื่องของตัวเอง ความมั่นคงของจำนวนขาเก้าอี้ที่ทำให้เรายังคงนั่งอยู่บนนั้นได้ก็เปรียบเหมือนกับความมั่นคงของชีวิตอย่างไรอย่างนั้น

“ถ้าเรามีเก้าอี้ 4 ขา แล้วหายไป 2 ขา ล้มแน่นอน ถ้า 3 ขาก็ยังพออยู่ได้ แต่ต้องเปลี่ยนวิธีตั้งใหม่ปรับองศาการตั้งเพื่อทำให้มันตั้งได้ พอเราเริ่มเข้าใกล้สภาวะที่ขาเก้าอี้แรกหายไป เราต้องพยายามสร้างขาเก้าอี้นั้นใหม่เพื่อทำให้ขาที่หายไปของชีวิตคุณ หรือธุรกิจคุณ ครอบครัวคุณ ญาติพี่น้องคุณยังมั่นคงอยู่ได้ คนส่วนมากมองว่ามันมีภาวะมากมายบนโลกที่เราควบคุมไม่ได้ แต่จริง ๆ เราต้องมองว่านั่นคือหนึ่งขาเก้าอี้ของเรา ภาวะที่คาดเดาไม่ได้นั้นต้องอยู่ในกลไกชีวิตของเรา”

กลับไปที่มุมมองแบบพุทธศาสนา สิ่งนี้ก็คือ ‘ความไม่เที่ยง’ หรือ ‘อนิจจัง’ ของชีวิตเราทุกคน ซึ่งความไม่เที่ยงนี้เป็นค่าคงที่ของสมการชีวิตอยู่เสมอ มีเกิด มีดับ เคียงคู่กับ ‘ทุกขัง’ หรือความไม่ทนอยู่คงที่ ทุกคนล้วนมีทุกข์ อยู่ที่ว่าจะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง อีกทั้ง ‘อนัตตา’ หรือความไม่มีตัวตนจริงแท้ มีเพียงแค่สิ่งสมมติที่ดับสลายไปได้เสมอ ทั้งหมดนี้รวมกันเรียกว่า ‘ไตรลักษณ์’ นั่นเอง

เพราะเจ้านายคนไม่ได้เป็นกันง่าย ๆ

คำถามสุดท้ายเราถามอาต๋อยว่า มีอะไรอยากบอกกับผู้บริหาร หรือเจ้านายที่เป็นคนรุ่นใหม่ในยุคนี้บ้าง คำตอบที่เป็นมนุษย์ของเขาทำให้เราศรัทธาในความเป็นผู้คงแก่เรียนของเขามากขึ้น

“จะเป็นเจ้านายคนได้ เป็นเจ้านายตัวเองให้ได้ซะก่อน ถ้าเป็นไม่ได้อย่าไปเป็นเลย มันแย่ทั้งตัวคุณเอง แย่ทั้งตัวคนที่คุณปกครอง แย่ในทุกสิ่งอย่าง ถ้าเรายังสั่งตัวเองไม่ได้ แต่สิ่งอื่นที่เป็นปัจจัยภายนอกมาสั่งคุณได้ ตัณหา ราคะ อะไรก็ตามแต่ มันจะลำบาก เพราะฉะนั้นคนที่ลำบากน้อยที่สุดในโลก คือคนที่สั่งตัวเองได้”

เหมือนอย่างที่เขาตั้งใจทำอาชีพพิธีกรหลายสิบปี โดยยังคงตั้งใจทำหน้าที่ในทุกวันให้ดีที่สุด โดยไม่ได้ทันสนใจเลยว่าจะเป็นงานที่เขารู้สึกเบื่อ หรือเป็นงานที่ซ้ำเดิมแค่ไหนก็ตาม หากมันเป็นหน้าที่ที่สำคัญในชีวิต เราน่าจะได้เห็นเขาในฐานะพิธีกรผู้ยืนอยู่หน้าโต๊ะที่เต็มไปด้วยอาหาร ไม่ก็นั่งอยู่บนเก้าอี้นุ่มกลางเวทีข้างแขกรับเชิญ และดำเนินเรื่องราวทั้งหมดให้ชีวิตของเขาถูกถ่ายทอดไปยังผู้ชมได้อย่างลื่นไหลแบบนี้ต่อไปแน่นอน

CREATED BY

Content Creator

พนักงานมือใหม่ที่สนุกกับการหาเรื่องมาเล่า ไม่มีสิ่งที่ชอบตายตัว มีแต่สิ่งที่ชอบแล้ว และกำลังหาสิ่งใหม่ที่ชอบต่อไป