วันนี้ (9 พฤษภาคม 2567) คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) จัดสัมมนาในหัวข้อเรื่อง รายการขยี้ข่าว สะท้อนหรือซ้ำเติมปัญหาสังคม? ณ โรงแรมเซ็นจูรี่ พาร์ค กรุงเทพฯ ตั้งแต่ช่วง 08.30 – 14.00 น.
งานสัมมนาครั้งนี้ได้เชิญ ‘ธีมะ กาญจนไพริน’ หรือ ‘จั๊ด’ ผู้ประกาศข่าวจากช่อง one31 เข้ามาเพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองในฐานะพิธีกรเล่าข่าว โดย ‘ธีมะ’ ได้อธิบายว่า อุตสาหกรรมข่าวมีเรื่องเรตติ้งเข้ามาวัดผล และวัดต่อรายข่าวไม่ใช่ต่อรายการ ซึ่งการขยี้ข่าวก็เปรียบเสมือนการนำเรื่องที่อยู่ในความสนใจของคนมาเล่าให้ง่ายมากขึ้น ส่วนใหญ่ก็จะมีการนำประเด็นสังคมการเมืองมาขยี้บ้างเพื่อให้เกิดประโยชน์กับผู้ชม และอาจจะมีการพลิกประเด็นเพื่อเพิ่มความรู้ให้กับผู้ชม เช่น ประเด็นเรื่องการสาดน้ำกรดก็อาจจะมีการให้ความรู้เกี่ยวกับน้ำกรดและแบ่งปันมุมมองว่าทำไมคนไทยสามารถเข้าถึงน้ำกรดได้ง่าย, หรืออย่างประเด็นข้าวที่มีสารเจือปนก็มีการส่งตรวจสอบว่ามีสารใด ๆ เจือปนจริงหรือไม่ เป็นต้น ส่วนในแง่ข่าวอาชญากรรมก็มีขยี้บ้างอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะอยู่ในความสนใจของผู้คน แต่อาจจะมีการต่อรองกับทีมงานว่าขอใช้เวลาในการเล่าข่าวอาชญากรรมเป็นช่วงสั้น ๆ เท่านั้น
ส่วนเรื่องการเล่าข่าวอาชญากรรมหรือการขยี้ข่าวอาชญากรรม โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้ หรือการใช้ภาพช่วยนั้นเริ่มต้นมาได้สักพักใหญ่ ๆ ในวงการข่าวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นข่าวภาคค่ำ ข่าวเย็น ซึ่งวิธีการเล่าเรื่องก็จะคล้าย ๆ กัน คือเริ่มต้นจากการปูเรื่องไปถึงจุดพลิกผันและวกกลับมาที่ทางออกของปัญหา แน่นอนว่าการเล่าข่าวเช่นนี้ช่วยให้เรตติ้งเติบโตได้ เพราะเป็นข่าวและวิธีการเล่าที่นิยมของคนไทย จนเคยมีครั้งหนึ่งที่เรตติ้งข่าวชนะเรตติ้งละครได้ ซึ่งการเล่าข่าวเพื่อการเติบโตของเรตติ้งมีหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับการนำไปใช้ เช่น การทำสกู๊ป, รายการทอล์ก, วาไรตี้ข่าว เป็นต้น
ส่วนทางด้านของ ‘ดร.สันติ กีระนันทน์’ ที่ปรึกษากระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้ว่า การที่มนุษย์รับสารหรือข่าวใด ๆ ต่อให้จะชอบหรือไม่ชอบก็ตามแต่ถ้าหากถูกตอกย้ำไปเรื่อย ๆ เรื่องเหล่านั้นก็จะติดอยู่ในหัวไป และการนำเสนอข่าวอาชญากรรมก็เช่นกัน หลายครั้งที่รายการขยี้ข่าวนำเคสหรือแหล่งข่าวมาขยี้อยู่บนหน้าจอโทรทัศน์ รายการได้เรตติ้งและได้รับการมองเห็นจากผู้ชมในวงกว้าง ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการปฏิบัติต่อแหล่งข่าวไม่ถูกต้องเพราะแหล่งข่าวอาจจะไม่รู้ตัวในตอนแรก แต่ผลกระทบที่ตามมาอาจจะคาดไม่ถึง
โดยหากพูดถึงประเด็นกฏหมาย ในประเทศไทยยังไม่มีกฏหมายที่คุ้มครองเหยื่ออย่างเป็นจริงเป็นจัง อาจจะใช้กฏหมายที่ใกล้เคียงอย่าง PDPA ได้ แต่เปอร์เซนต์ในการใช้งานก็ค่อนข้างน้อยอยู่ดี หรือหากจะใช้กฏหมายประมวลอาญามาตรา 238 เรื่องดูหมิ่นเหยียดหยามใส่ร้ายเพื่อการฟ้องร้อง แต่เหยื่อก็มักจะเป็นคนที่เสียเปรียบอยู่เสมอ ดังนั้นสื่อที่ดีต้องมีสามัญสำนึก คิดถึงจิตใจและผลกระทบของแหล่งข่าวที่กำลังถูกขยี้ อีกทั้งสื่อที่ดีต้องไม่ไปล้วงสิทธิและเสรีภาพของแหล่งข่าว
ส่วนทางด้านของ ‘ดร.นพ. วรตม์ โชติพิทยสุนนท์’ โฆษกกรมสุขภาพจิต ได้ออกมาอธิบายปรากฏการณ์นี้ในมุมมองของจิตแพทย์ว่า การเปลี่ยนไปของการนำเสนอข่าวเกิดจากระบบเศรษฐกิจและเป็นช่วงขาลงของสื่อโทรทัศน์ ดังนั้นสื่อโทรทัศน์จึงต้องปรับตัวเพื่อหารายได้ จึงไปอิงกับเรื่องเรตติ้ง ตลอดจนคนไทยมีความเครียดสะสมมากยิ่งขึ้น ดังนั้นจึงมองหาสื่อเอ็นเตอร์เทนเมนต์ให้กับตนเอง ดังนั้นรายการข่าวจึงต้องปรับตัวให้มีความบันเทิงตามไปด้วย และข่าวที่รายงานเรียบ ๆ ด้วยข้อเท็จจริงยาว ๆ แน่นอนว่าในปัจจุบันคนดูน้อยมาก แต่สิ่งที่เป็นผลกระทบก็คือ การเล่าข่าวจำเป็นต้องกระตุ้นอารมณ์คนดูให้รู้สึกร่วมและสิ่งนี้พ่วงไปกับการกระตุ้นความทรงจำในอดีต ซึ่งส่วนใหญ่อารมณ์ที่ถูกกระตุ้นเป็นอารมณ์เชิงลบ ผลกระทบจะออกมา 2 แบบหลัก ๆ ได้แก่ 1. เราคุ้นชินกับเรื่องเลวร้ายนี้จนเป็นปกติ กับ 2. เกิดการเรียนรู้กับความรุนแรงและเกิดพฤติกรรมเลียนแบบได้ ยกตัวอย่างเช่น ไทยเคยนำเสนอข่าวรมควันในรถโดยให้รายละเอียดของอุปกรณ์และราคาทั้งหมด หลังจากนั้น 2 เดือนมีพฤติกรรมเลียนแบบด้วยการรมควันตัวเองจนเสียชีวิตมากกว่า 10 เคส
ส่วนทาง ‘สุภิญญา กลางณรงค์’ คณะกรรมการนโยบายสภาองค์กรของผู้บริโภค ได้ชี้ให้เห็นสถิติเสรีภาพ และกลุ่มของคนเสพสื่อทั่วโลก และมีข้อมูลที่น่าสนใจคือ ในไทยคนเสพข่าวจาก Tiktok สูงถึง 70% และเสพสื่อจากโซเชียลมีเดียสูงถึง 64% ดังนั้นสื่อส่วนใหญ่จึงปรับตัวให้ตัวเองเป็นโซเชียลมีเดียมากขึ้นเพื่อตอบรับความต้องการของคนดู และในประเทศไทยสื่อมักมีเสรีภาพในการขยี้ข่าวที่ไม่มีแก่นสาร และเสรีภาพในการขยี้ข่าวเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจยังไม่ได้มีมากขนาดนั้น
อย่างไรก็ดี ‘สุภิญญา กลางณรงค์’ ยังทิ้งท้ายไว้อีกว่าต่อให้พฤติกรรมของคนเสพสื่อทั่วโลกจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร คนจะเสพคลิปสั้นกันมากขึ้น แต่องค์กรข่าวที่ยังอยู่ได้ในท้ายที่สุดก็คือองค์กรข่าวที่มีความน่าเชื่อถือสูง และประชาชนคนเสพสื่อยังคงให้ความไว้วางใจนั่นเอง