หนึ่งในกีฬาประเภททีมที่ถูกจับตามองประจำมหกรรมกีฬาแห่งชาติ “โอลิมปิก” อย่าง “บาสเกตบอล 🏀” นับตั้งแต่ปี 1992 ที่บาร์เซโลนา ประเทศสเปน 🇪🇸 ทีมชาติสหรัฐฯ ปรับโฉมทีมนำนักกีฬาจากใน “NBA 🇺🇸” เข้ามามีส่วนร่วมในการแข่งขันกีฬา 5 ห่วงขึ้น
นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชุดผู้เล่นบาสเกตบอลของสหรัฐฯ ถูกสถาปนาขึ้นเป็น “ดรีมทีม 🌟” ขุมกำลังผู้เล่นระดับซุเปอร์สตาร์จาก NBA ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการแข่งขัน และยังสร้างปรากฏการณ์ความตื่นเต้นให้กับแฟนบาสทั่วโลกให้ได้ติดตาม เหมือนคอนเสิร์ตเวิร์ลทัวร์ของศิลปินชื่อดังที่ทุกคนรอคอย
ในทุกครั้งที่มีการจัดโอลิมปิก การถูกจับตามองของ 12 ผู้เล่นlหรัฐฯ ที่จะถูกนำเข้ามาคัดเลือกต่างสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับแฟนบาสทั่วโลก รวมไปถึงนักกีฬาจากชาติร่วมการแข่งขันที่รอคอยจะได้สัมผัสบรรยากาศพิเศษที่จะได้แข่งขันกับมหาอำนาจของกีฬายัดห่วงนี้
โดยในโอลิมปิกที่ปารีส 2024 สหรัฐฯ ได้จัดขุมกำลังครบเครื่องทั้ง 12 คน นำทัพด้วยซุเปอร์สตาร์ระดับตำนาน “เดอะคิงส์ 👑” เลบรอน เจมส์ 6️⃣, “มือปืน 3 แต้ม 👌” สเตฟเฟน เคอร์รี 4️⃣, “ยมทูตล่าแต้ม 👻” เควิน ดูแรนท์ 7️⃣ รวมทั้งผู้เล่นออลสตาร์ และแชมป์ NBA ล่าสุดนำทัพโดย
ชุดแชมป์บอสตัน เซลติกส์ ☘️ 3 คน อย่าง เจสัน เทย์ทัม 1️⃣0️⃣, จรู ฮอลิเดย์ 1️⃣2️⃣, และเดอร์ริค ไวท์ 8️⃣ รวมทั้งผู้เล่นออลสตาร์อีก 6 คนอย่าง โจเอล เอ็มบีด 1️⃣1️⃣, แอนโธนี เดวิส 1️⃣4️⃣, แบม อเดบาโย 1️⃣3️⃣, เดวิน บุคเกอร์ 1️⃣5️⃣, แอนโธนี เอ็ดเวิร์ดส์ 5️⃣, และไทรีส ฮาลิเบอร์ตัน 9️⃣
โดยดรีมทีมชุดนี้มีหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจ เนื่องจากสหรัฐฯ ที่มีผลงานสุดย่ำแย่ในการแข่งขัน “บาสเกตบอลชิงแชมป์โลก 2023” หลังจากจบเพียงอันดับ 3 และยังถูกเยอรมนี 🇩🇪 ขึ้นเป็นแชมป์โลกล่าสุด
จึงทำให้ภารกิจของทีมชุดนี้คือการกู้ศักดิ์ศรีของกีฬาอเมริกันกลับมาอีกครั้ง เหมือนที่พวกเขาเคยทำได้ในปักกิ่งเกมส์ 2008 ที่ประเทศจีน 🇨🇳 ในชื่อภารกิจ “The Redeem Team” รวมไปถึงครั้งนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายของผู้เล่นหลักในชุดนี้ เหมือนดั่งซีรีย์กีฬาบาสชื่อดัง “The Last Dance” จนถูกนำไปใช้ในห้วงเวลาสุดท้ายแสนสำคัญของนักกีฬาทุกวงการที่กำลังจะอำลาการเล่นของพวกเขา
วันนี้เราจะพาไปติดตามเรื่องราวภารกิจสำคัญของดรีมทีมชุดนี้ ที่ต้องกอบกู้ความเป็นเบอร์หนึ่งของโลก และการปิดฉากอันแสนสวยงามของพวกเขา โดยทั้งหมดที่กล่าวมาคือความสนุกของดรีมทีมที่กำลังจะเริ่มต้นในโอลิมปิก ปารีส 2024 ครั้งนี้ 🏀
กำเนิดการรวมเหล่าดาราที่กอบกู้ชาติในนาม “ดรีมทีม”
ย้อนกลับไปปี 1972 โอลิมปิก “มิวนิคเกมส์” ประเทศเยอรมนี 🇩🇪 สหรัฐฯ สร้างสถิติกวาดเหรียญทองโอลิมปิกมายาวนานตลอด 7 สมัย แต่ทว่า! ในปีดังกล่าวเมื่อสหรัฐฯเดินทางมาสู่รอบชิงต้องพบกับ “สหภาพโซเวียต” ที่นำนักกีฬาอาชีพเข้ามาลงแข่งขันชิงกับอเมริกาที่ตอนนั้นยังใช้นักกีฬามือสมัครเล่นมาใช้ในการแข่งขันโอลิมปิก
และเกิดเหตุการณ์ช็อกโลกเมื่อเจ้าของกีฬายัดห่วงนี้ไปพลาดท่าให้กับคู่แข่งด้วยสกอร์รวม 51 – 50 แต้ม ส่งผลให้สหภาพโซเวียตได้เหรียญทองโอลิมปิกและเป็นจุดเริ่มต้นความอับอายของสหรัฐฯ ที่กีฬาประจำถิ่นตัวเองถูกประเทศนอกนำความปราชัยมายัดเยียดสู่พวกเขา
“พวกเราสมควรจะได้เหรียญทอง” เอ็ด แรทริฟฟ์ นักกีฬาบาสชื่อดังของสหรัฐฯ ชุดดังกล่าวได้ให้สัมภาษณ์หลังพลาดคว้าเหรียญทองจากแดนเบียร์มาได้ และความพ่ายแพ้ของสหรัฐฯ ก็เริ่มต้นหลังจากนั้นจนมาถึงในปี 1988 รอบรองชนะเลิศที่สหรัฐฯ ต้องพบกับ “อริเดิม” อย่างโซเวียต และพวกเขาไม่สามารถที่จะล้างแค้นได้แพ้ไป 82 – 76 ส่งผลให้อเมริกาต้องไปชิงเหรียญทองแดงและพวกเขาทำได้
นั่นจึงเป็นสัญญาณให้พวกเขาเริ่มหาวิธีต่อกรกับคู่แข่งหลังจากมีผลงานที่ย่ำแย่ในระดับนานาชาติ และหันไปต่อรองกับ “เดวิด สเติร์น” ประธานลีกบาสเกตบอล NBA ในเวลานั้น เพื่อนำผู้เล่นชื่อดังของลีกไปลงทำการแข่งขันในโอลิมปิก บาร์เซโลนา 1992 ที่กำลังจะเริ่มขึ้น
สเติร์นเห็นโอกาสในการนำผู้เล่นไปกู้วิกฤตในครั้งนี้ รวมทั้งยังมองถึงการขยายแบรนด์ลีกกีฬา NBA ให้เป็นที่รู้จักทั่วโลกผ่านการลงแข่งขันโอลิมปิกนี้ และเรียกทีมระดับออลสตาร์ที่รวมผู้เล่นชุดนี้ว่า “The Dream Team (ดรีมทีม)” เพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับวงการบาสเกตบอล และยังเป็นการขยายความนิยมของยุค 90’s ที่กำลังมีอิทธิพลทางกีฬาผ่านผู้นำของทีมนี้ อย่าง “ไมเคิล จอร์แดน 9️⃣”
โดยขุมกำลังชุดนี้นอกจากจอร์แดนแล้วยังอุดมไปด้วยผู้เล่นชั้นนำในเวลานั้นอย่าง เออร์วิน “แมจิค” จอห์นสัน 1️⃣5️⃣, แลร์รี เบิร์ด 7️⃣, ชาร์ล บาร์คลีย์ 1️⃣4️⃣, คาร์ล มาโลน 1️⃣1️⃣, เดวิด โรบินสัน 5️⃣, แพทริค อิฟวิง 6️⃣, สก็อตตี พิพเพน 8️⃣, ไคลด์ แดร็ซเลอร์ 1️⃣0️⃣, จอห์น สตอกตัน 1️⃣2️⃣, คริส มัลลิน 1️⃣3️⃣, และ คริสเตียน เล็ตต์เนอร์ 4️⃣ เป็น 12 ผู้เล่นแห่งความหวังที่ผสมเด็กมหาลัยอย่างเล็ตต์เนอร์ในเวลานั้นร่วมด้วย
แน่นอนว่าทีมชุดนี้สามารถคว้าเหรียญทองมาได้หลังเอาชนะโครเอเชีย 🇭🇷 ขาดลอย 117 – 85 กลายเป็นหนึ่งในทีมแข่งขันแกร่งที่สุดที่โอลิมปิกเคยมี และเป็นจุดเริ่มต้นของดรีมทีมรุ่นใหม่ต่อไปที่กลับมาทวงบัลลังก์คืนมาได้นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ผลพ่วงจากดรีมทีม นำไปสู่การกอบกู้อีกครั้งในนาม “The Redeem Team”
หลังจากดรีมทีมสร้างความฮือฮาเป็นอย่างมากให้กับโลกกีฬาโดยเฉพาะในโอลิมปิกที่เกิดขึ้น ในปี 1996 และ 2000 พวกเขายังสามารถรักษาอำนาจความเป็นเบอร์หนึ่งเอาไว้ได้ จนกระทั่งปี 2004 ที่กลับมาจัดจุดกำเนิดโอลิมปิกอย่าง “เอเธนส์” ประเทศกรีซ 🇬🇷
โดยก่อนหน้านี้จากอิทธิพลการเผยแพร่วัฒนธรรม และขยายแบรนด์ของ NBA ผ่านดรีมทีมที่เป็นความภาคภูมิใจของสหรัฐฯ ดันแฝงไปดึงดูดผู้เล่นศักยภาพชั้นนำทั่วโลกที่อยากมาต่อกร และเพิ่มประสบการณ์ให้กับการเล่นในลีก NBA ทำให้ผู้เล่นต่างชาติที่ได้เล่นในลีกนี้ แม้ว่าจะไม่สามารถโดดเด่นได้เมื่อเทียบกับสตาร์ชั้นนำของประเทศเขา แต่ความสามารถที่ได้แฝงมามันทำให้พวกเขานำกลับไปประยุกษ์ใช้กับชาติของตัวเองได้
มากไปกว่านั้น ด้วยกติกาของ NBA ที่แตกต่างเพียงเล็กน้อยกับกติกาบาสเกตบอลสากลทำให้จุดเล็ก ๆ ที่แฝงมานี้กำลังทำลายความปิติที่ลืมนึกคิดไปว่าวันนึงพวกเขาก็อาจจะพลาดได้ และผนวกกับปัญหาทางการเมืองของสหรัฐฯ ในดินแดนที่ใกล้กับประเทศศัตรูทางการเมือง ยิ่งทำให้ผู้เล่นดรีมทีมชุดลุยเอเธนส์จึงไม่สามารถตัดสินใจเลือกลงแข่งครั้งนี้ได้
โชคจึงโยกไปหาดาวรุ่งในปีนั้นที่มี เลบรอน เจมส์, ดเวน เหวด, คาร์เมโล แอนโธนี ที่ต้องมาติดทีมชาติชุดนี้ แม้ว่าจะมีสตาร์ดาวดังอย่าง อัลเลน ไอเวอร์สัน และ ทิม ดันแคน ที่มีประสบการณ์ระดับแชมป์ NBA แต่ด้วยปัญหาทั้งเรื่องการเล่นไม่เข้ากันเพราะขาดตัวคุมเกม หรือปัญหาระหว่างผู้เล่นกับโค้ชชุดนั้นอย่าง “แลร์รี บราว์น” ทำให้เป็นหนึ่งในชุดที่ย่ำแย่หลังจากมีดรีมทีมขึ้นมา
พวกเขาพลาดรอบรองชนะเลิศพ่ายให้กับอาเจนตินา 🇦🇷 ที่นำทีมโดยยอดผู้เล่นอย่าง “มานู จิโนบิลี” 81 – 89 และต้องไปชิงทองแดงกับประเทศลิทัวเนีย 🇱🇹 ยังดีที่สามารถคว้าเหรียญได้บนความอับอายของสหรัฐฯ ในเวลานั้น
จนทีมชาติสหรัฐฯ ต้องปรับโครงสร้างเอาจริงเอาจังมากขึ้น จึงเลือก “โค้ชเค” ไมค์ เคอร์ซีเซฟสกีรับหน้าที่ดูแลทีมบาสเกตบอลชายของชาติ และเริ่มปฏิวัติการวางระบบอย่างมีประสิทธิภาพอีกครั้ง ภายใต้ชื่อภารกิจที่ต้องพิชิตให้ได้ในปักกิ่งเกมส์ที่จีน 🇨🇳 ในนาม “The Redeem Team (รีดีมทีม)”
โดยชุดนี้จะมีผู้เล่นคนสำคัญที่เคยผิดหวังในเอเธนส์เกมส์มาแล้วอย่าง เลบรอน เจมส์ 6️⃣, ดเวน เหวด 9️⃣, คาร์เมโล แอนโธนี 1️⃣5️⃣ และยังนำเอาตัวเก๋าผสมกับผู้เล่นชุดใหม่ที่ยอดเยี่ยมในช่วงนั้นอย่าง เจสัน คิดด์ 5️⃣, คาร์ลอส บูเซอร์ 4️⃣, เดรอน วิลเลียมส์ 7️⃣, ไมเคิล รีดด์ 8️⃣, ดไวจท์ ฮาเวิร์ด 1️⃣1️⃣, คริส บอช 1️⃣2️⃣, คริส พอล 1️⃣3️⃣, และเทย์ชอน ปรินซ์ 1️⃣4️⃣
ขุมกำลังชุดนี้จะสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น หากผู้นำของพวกเขาคือตำนานที่จากโลกไปแล้วอย่าง “Black Mamba 🐍 (อสรพิษดำ)” โคบี ไบรอันท์ 1️⃣0️⃣ ที่พลาดโอลิมปิกครั้งที่แล้วจากคดีอื้อฉาวของเจ้าตัว แต่ผ่านพ้นคดีมาได้จนเกือบทำให้เขาดำดิ่งในช่วงเวลาที่แย่ที่สุด “รีดีม” สื่อถึงการกอบกู้อีกครั้ง คงไม่มีใครเหมาะไปกว่าโคบีที่ต้องการกู้ชื่อเสียงอีกครั้ง พร้อมกับการนำเกียรติยศของกีฬาแห่งชาติกลับคืนมาสู่ประเทศ ความเหมาะสมและลงตัวนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันความพร้อมที่จะทวงอีกครั้งในดินแดนมังกรเอเชีย
พวกเขาสามารถพิชิตสเปน 🇪🇸 ที่นำทีมโดยพาว กาซอลเอาชนะไปได้ 118 – 107 กลับมาทวงคืนอำนาจของพวกเขาได้อีกครั้ง ในชื่อที่ถูกจับตามองว่าจะทำได้หรือไม่ การคว้าเหรียญทองโอลิมปิกในปี 2008 ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ความยิ่งใหญ่ของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
ความนิยมของ “The Last Dance” สู่ความหมายการร่ำลาครั้งสุดท้าย
หนึ่งในสารคดีกีฬาชื่อดังทาง “เน็ตฟลิกซ์” ที่เล่าถึงทีมบาส NBA ชื่อดังอย่าง “ชิคาโก บูลส์” ในฤดูกาลสุดท้าย 1997/98 หลังจากที่พวกเขาเพิ่งคว้าแชมป์ในสมัยที่ 5 และกำลังเข้าสู่ฤดูกาลใหม่ในการทำสถิติคว้าแชมป์ 3 สมัยติดหรือที่เรียกว่า “3-Peat (ทรีพีท)” หากพวกเขาสามารถทำได้ในฤดูกาลที่จะถึงนี้ จะกลายเป็นครั้งที่ 2 ของพวกเขาที่สามารถทำทรีพีทได้ และจะเขียนประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของพวกเขาอีกครั้ง
โดยระหว่างการเข้าสู่ฤดูกาลดังกล่าว เกิดเหตุการณ์ที่ผู้จัดการทั่วไปอย่าง “เจอร์รี เคราส์” มีปัญหากับโค้ชของทีมอย่าง “ฟิล แจ็คสัน” และเคราส์พยายามที่จะบีบให้ฟีลถูกไล่ออกไปตั้งแต่ฤดูกาลที่เพิ่งผ่านมา แต่เจ้าของทีมอย่าง “เจอร์รี เรนส์ดอร์ฟ” เห็นท่าไม่ดีจึงประคองให้ฟีลยังคุมทีมต่อได้
จึงทำให้ฤดูกาลของเรื่องราวนี้จะเป็นโค้งสุดท้ายของการทำทีมของเขา และก่อนเปิดฤดูกาลได้แจกแฟ้มให้แก่นักกีฬาและสตาฟโค้ชในทีม โดยมีชื่อของการโชว์ครั้งสุดท้ายนี้ว่า “The Last Dance” ถือเป็นการบอกให้ทราบว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่พวกเราจะทำมันให้ได้อีกครั้ง
แน่นอนว่าครั้งสุดท้ายนี้ นอกจากฟีล แจ็คสันแล้ว ยังเป็นการถูกย้ายทีมของพระรองอย่าง “สก็อตตี พิพเพน” ที่ถูกเคราส์บีบกระทำไม่ต่างจากที่ฟีลได้รับมา และมันยังสร้างความอึดอัดใจให้กับผู้นำทีมอย่าง “ไมเคิล จอร์แดน” ที่หากไม่มีพวกเขาที่สร้างความสำเร็จร่วมกัน ตัวเขาเองก็มองว่านี่ก็คงเป็นครั้งสุดท้ายของเขากับทีมชุดนี้เฉกเช่นเดียวกัน
ด้วยเรื่องราวความยิ่งใหญ่อย่างที่ทุกคนรู้ดีว่าบูลส์ชุดนี้ทำได้ และหลังจากนั้นมันจึงกลายเป็นตำนานที่ปฏิเสธความยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับพวกเขาไปเสียมิได้ เลยส่งผลให้คำว่า “Last Dance” เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ที่คู่ควรถูกใช้ในการอำลาครั้งสุดท้ายที่เกิดขึ้น และเหมาะกับการประกาศความเกรงขามจากการโบกมือลาว่า “นี่เป็นครั้งสุดท้าย และจะไม่มีมันอีกต่อไป”
ทั้งหมดที่เรียบเรียงมานี้เพื่อกู้หน้าที่พลาดมาแล้วในเวทีบาสระดับโลก ด้วยอายุที่มากขึ้นของเลบรอนที่ผ่านช่วงเวลาแย่สุดกับทีมชาติ และได้รับความสำเร็จมาได้อีกถึง 2 ครั้งมาแล้วเช่นกันกับดูแรนท์ ผนวกกับเคอร์รีที่แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกของเขากับโอลิมปิก แต่ด้วยอายุอานามที่ปาไปถึง 30 กว่าแล้ว คงเป็นครั้งสุดท้ายของเขาในนามทีมชาติ เพราะเคยได้มาแล้วกับชุดลุยบาสเก็ตบอลชิงแชมป์โลกในปี 2014
และยังรวมถึงอีกหลายคนที่ก็ผ่านความล้มเหลวของทีมชาติล่าสุดมาแล้ว มนุษย์หากผิดพลาดแล้วครั้งหนึ่งย่อมกลับมากู้กลับคืนได้อีกครั้ง มันไม่สำคัญว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นมันจะสำเร็จลุล่วงไปได้หรือไม่ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือครั้งสุดท้ายที่กำลังจะเกิดขึ้นของบางอย่าง อาจเป็นการนำไปสู่การทวงคืนเอกราชอีกครั้ง และมันจะเกิดขึ้นได้ต้องลุยมันให้สุดทาง เหมือนที่ทีมชาติสหรัฐฯ อเมริกาชุดนี้จะเริ่มทำมันอีกครั้งในปารีส 2024 ที่กำลังจะเริ่มต้นขึ้น