ดาวศุกร์ คือดาวเคราะห์เพื่อนบ้านของโลกที่มีพื้นผิวอันร้อนระอุด้วยอุณหภูมิสูงกว่า 450 องศาเซลเซียสโดยเฉลี่ย ซึ่งถือว่ามีอุณหภูมิสูงกว่าดาวพุธที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์มากกว่าเสียอีก แถมชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์นั้นก็ยังหนาแน่นมากกว่าโลกถึง 92 เท่า เพียงพอที่จะบดขยี้รถยนต์ทั้งคันให้กลายเป็นก้อนเศษเหล็กได้ภายใน 15 วินาที
แต่ทว่าเรื่องราวของดาวศุกร์นั้นกลับไม่ได้เป็นแบบนี้นี้มาตั้งแต่แรก เพราะถ้าหากย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนปี 2023 องค์การนาซาได้เปิดเผยหลักฐานของภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ครั้งแรกเท่าที่เคยมีการสำรวจมา จากข้อมูลเก่าของยานอวกาศแมกเจลแลน ซึ่งเป็นยานอวกาศที่ไปสำรวจดาวศุกร์ด้วยการประจำการอยู่บนวงโคจรช่วงต้นยุค 90

โดยข่าวนี้ก็ได้รับความสนใจในกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เป็นจำนวนมาก เนื่องจากดาวศุกร์นั้นเป็นวัตถุแห่งที่ 3 ในระบบสุริยะของเรา รองจากโลก และดวงจันทร์ไอโอของดาวพฤหัสฯ ที่มีหลักฐานของภูเขาไฟคุกรุ่นอยู่ ในขณะที่ดาวอังคาร ซึ่งเป็นดาวเคราะห์ยอดฮิตที่นานาชาติให้ความสนใจในการสำรวจ กลับเป็นดาวเคราะห์ที่แกนกลางภายในดาวเย็นเกินกว่าที่จะให้ความร้อนแก่ภูเขาไฟใด ๆ ได้อีกต่อไป
หลักฐานชิ้นนี้จึงได้พาเราเปิดประตูสู่อดีตของดาวศุกร์เมื่อประมาณ 4 พันล้านปีที่แล้ว ในยุคสมัยที่พื้นผิวของดาวศุกร์เริ่มเย็นตัวลงจากจุดกำเนิดที่เต็มไปด้วยเปลวเพลิงกับลาวา ซึ่งถ้าหากในช่วงเวลานั้นได้มีภูเขาไฟก่อตัวขึ้นมาบนดาวศุกร์เฉกเช่นในปัจจุบัน ภูเขาไฟก็จะพ่นแก๊สต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการสร้างชั้นบรรยากาศ และเมื่อถึงจุดหนึ่งสภาพแวดล้อมก็จะเหมาะสมเพียงพอที่น้ำจะคงสถานะเป็นของเหลวได้
ไอน้ำในอากาศ ซึ่งมาจากพวกน้ำแข็งที่ตกลงมากับอุกกาบาต เมื่อครั้งดาวศุกร์ก่อตัวก็เริ่มที่จะควบแน่น และก่อตัวเป็นน้ำหยดแรกตกลงมายังพื้นผิวของดาวศุกร์ แปรสภาพให้ดาวศุกร์กลายเป็นดาวเคราะห์สีน้ำเงินดุจดั่งโลกในปัจจุบัน
ถ้ามีน้ำ ย่อมมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะมีสิ่งมีชีวิตรูปแบบง่าย ๆ ถือกำเนิดขึ้นมา โดยโมเดลสภาพอากาศในปัจจุบันหลายโมเดลบอกใบ้ว่า ช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ ดาวศุกร์เคยมีอุณหภูมิพื้นผิวอยู่ที่ประมาณ 30 – 70 องศาเซลเซียสมาก่อน

อีกทั้งแก๊สเรือนกระจกที่เกิดจากกิจกรรมของภูเขาไฟ ก็ยังทำหน้าที่เป็นเหมือนกับผ้าห่มที่คอยกักเก็บความร้อน ซึ่งช่วยรักษาให้อุณหภูมิของดาวศุกร์คงที่ ไม่ว่าจะเป็นช่วงกลางวันหรือกลางคืน และมีสภาพแวดล้อมไม่ต่างอะไรไปจากฤดูใบไม้ผลิอันแสนอบอุ่นบนโลก แถมแก๊สเรือนกระจกจากภูเขาไฟนี้ก็ยังช่วยรักษาวัฏจักรของน้ำ จากพลังงานความร้อนที่ทำให้น้ำระเหยขึ้นไปในอากาศ ก่อนที่จะควบแน่นตกกลับมาในรูปแบบของฝน วนเวียนเรื่อยไปหลายร้อยล้านปี
อย่างไรก็ดีผลกระทบของแก๊สเรือนกระจกนั้นก็กลับอยู่บนเส้นบาง ๆ ของจุดสมดุลระหว่างการที่ช่วยให้ดาวศุกร์อบอุ่น และเผาไหม้ดาวศุกร์จนมอดไหม้ ซึ่งในอดีตดวงอาทิตย์ของเราก็เป็นตัวแปรสำคัญของสมดุลอันบอบบางบนดาวศุกร์นี้ ทั้งนี้เราต้องเข้าใจก่อนว่าในอดีตนั้น ดวงอาทิตย์ของเราอ่อนโยนและส่องแสงสลัวมากกว่านี้ อันเป็นผลมาจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นที่เกิดขึ้นอย่างช้า ๆ ณ แกนกลาง ที่ปลดปล่อยแก๊สฮีเลียมและพลังงานออกมา แต่ทว่าเมื่อเวลาผ่านพ้นไป แกนกลางของดวงอาทิตย์ก็เริ่มแน่นขนัดไปด้วยฮีเลียมมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงทำให้ปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชั่นเกิดบ่อยและถี่ขึ้น จนพลังงานความร้อนที่ปล่อยออกมาเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา
เมื่อเป็นเช่นนั้น สักช่วงเวลาหนึ่งในประวัติศาสตร์ มหาสมุทรของดาวศุกร์ก็เริ่มระเหยขึ้นไปในชั้นบรรยากาศ เร็วกว่าอัตราที่ฝนตกกลับลงมาบนพื้นผิว ซึ่งไอน้ำนั้นถือว่าเป็นแก๊สเรือนกระจกชั้นเยี่ยมที่กักเก็บความร้อนได้มากกว่าแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์หลายเท่าตัว จึงทำให้ดาวศุกร์ยิ่งร้อนขึ้นไปอีก เรียกได้ว่าเหตุการณ์นี้ส่งผลให้เกิดปฏิกริยาลูกโซ่บนชั้นบรรยากาศของดาวศุกร์ขึ้น ทั้งในแง่ของความดันบรรยากาศ และอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะจบลง
นักวิทยาศาสตร์เรียกปรากฏการ์ณที่เกิดขึ้นบนดาวศุกร์ในอดีตว่า ‘ปรากฏการณ์เรือนกระจกแบบกู่ไม่กลับ’ หรือ ‘Runaway Greenhouse Effect’ ซึ่งแก๊สเหล่านี้ได้ขวางกั้นการระบายความร้อนออกจากพื้นผิวออกสู่อวกาศไปแทบทั้งหมด จนกระทั่งส่งผลให้วัฎจักรของน้ำหยุดการทำงานลง ก่อนที่ต่อมามหาสมุทรบนดาวศุกร์ก็เดือดหายไปบนท้องฟ้าอย่างไม่มีวันหวนคืน และกลายสภาพเป็นดาวเคราะห์ที่ไม่ต่างอะไรไปจากภาพจำของนรกอเวจีในที่สุด ถึงขนาดที่ว่ายานอวกาศเวเนรา 13 ของสหภาพโวเวียตที่ได้ลงจอดบนพื้นผิวบนดาวศุกร์ในปี 1982 ที่ได้รับการออกแบบมาเป็นอย่างดี กลับอยู่บนพื้นผิวได้แค่ 127 นาทีเพียงเท่านั้น

สุดท้ายการที่นักดาราศาสตร์ยืนยันได้ว่า ดาวศุกร์ยังมีภูเขาไฟคุกรุ่นอยู่นั้น ก็เป็นเพียงแค่สมมติฐานหนึ่งที่อาจบอกใบ้เรื่องราวของมหาสมุทรในอดีตได้ ซึ่งเรายังคงต้องศึกษาดาวศุกร์ต่อไปในอนาคต เพื่อที่จะทำความเข้าใจให้ดีกว่าเดิม ว่าดาวศุกร์นั้นกลายสภาพเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่มีขนาดและมวลใกล้เคียงกันกับโลกราวกับดาวฝาแฝด โดยการค้นพบใหม่ ๆ ก็อาจช่วยให้โลกของเราไม่มีชะตากรรมลงเอยแบบเดียวกับดาวศุกร์ก็เป็นได้ ไม่แน่ว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมสุดขั้วแบบที่เกิดขึ้นบนดาวศุกร์นี้ ก็อาจเกิดขึ้นบนโลกได้เช่นกัน หากมนุษย์ยังไม่หยุดปล่อยแก๊สเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศในเร็ว ๆ นี้
อ้างอิง
- https://www.astronomy.com/science/venus-was-once-more-earth-like-but-climate-change-made-it-uninhabitable
- https://agupubs.onlinelibrary.wiley.com/doi/epdf/10.1002/2016GL069790
- https://zenodo.org/records/1253896
- https://web.archive.org/web/20150422072924/http://www.technologyreview.com/view/426608/how-likely-is-a-runaway-greenhouse-effect-on-earth
- https://www.space.com/venus-active-volcano-nasa-magellan-mission