ในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เราน่าจะได้ยินคำว่า Agentic AI กันอยู่ไม่มากก็น้อย มีผู้เชี่ยวชาญหลาย ๆ คนออกมาบอกว่า มันคืออีกก้าวที่สำคัญสำหรับ AI เลยก็ว่าได้ วันนี้มาทำความเข้าใจพื้นฐานกันดีกว่าว่ามันคืออะไร ทำอะไรได้ และมีความแตกต่างจาก AI ที่ใช้งานกันปกติอย่างไรบ้าง
AI ตัวที่เราใช้งานอยู่มันทำงานอย่างไร ?
AI ที่เราใช้งานกันโดยทั่วไป มีกระบวนการทำงานที่เข้าใจง่ายมาก เริ่มจากผู้ใช้ส่งคำสั่งบางอย่างเข้าไป จากนั้น AI ก็จะเอาไปประมวลผลผ่าน Model ที่ใช้งาน และสุดท้ายก็พ่นเป็นผลลัพธ์ออกมาแบบที่เราเห็น ๆ กัน เพื่อให้เห็นภาพง่ายขึ้น ขอยกตัวอย่างเป็นการใช้ LLM เราจะต้องเริ่มจากการที่ผู้ใช้พิมพ์คำถาม หรือ Prompt ลงไปในช่อง จากนั้นก็กด Enter ตัวระบบของ LLM ก็จะเอาสิ่งที่เราถามไปคุยกับ Model แล้วค่อยแสดงผลออกมาเป็นคำตอบที่เราเห็นบนหน้าจอ หรือถ้าออกมาเป็นเสียง ก็อาจจะเอาไปเข้า Speech-to-Text Model เพื่อสร้างเสียงพูดออกมาจากตัวหนังสืออีกทีหนึ่ง เราจะเห็นได้ว่าการทำงานของ AI ที่ใช้งานกันอยู่ตอนนี้ ผู้ใช้จำเป็นต้องเข้าไปป้อนคำสั่งให้มันทำงานเป็นหลัก
Agentic AI คืออะไร ?
เมื่อพูดถึงคำว่า Agentic AI เรากำลังพูดถึงคำ 2 คำ คือ คำว่า “Agentic” และ AI โดยคำว่า Agentic มาจากคำว่า “Agent” ที่มาในกรอบแนวคิดที่ว่า สามารถทำงานได้อย่างอิสระ ทำให้ Agentic AI คือ AI ที่สามารถทำงานได้อัตโนมัติและอิสระ ในแบบที่มนุษย์หรือระบบไม่จำเป็นต้องเข้าไปป้อนคำสั่งใด ๆ ทั้งสิ้น พูดง่าย ๆ คือ มันสามารถจัดการตัวเองได้ คิดเองได้ตลอดเวลา ปรับเปลี่ยนตัวมันเองจากความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์และบริบทต่าง ๆ ซึ่งจากข้อแตกต่างนี้ทำให้ Agentic AI นั้นมีจุดเด่นที่เหนือกว่า AI ที่เราใช้งานมาหลากหลายด้านด้วยกัน
อย่างแรกคือ ทักษะการรับรู้ เนื่องจากมันไม่ได้รอมนุษย์หรือระบบอื่น ๆ มาสั่งงาน ทำให้จำเป็นต้องมีทักษะสำหรับการรับรู้ เช่น การรับรู้ข้อมูลจาก Sensor ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Sensor แบบที่เป็น Physical อาทิ Sensor วัดความเข้มของแสงที่ติดตั้งอยู่หน้าอาคาร และ Virtual Sensor เช่น Sensor ที่เป็น Software ติดตั้งอยู่บนเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับการส่งข้อมูลการทำงานของเครื่องกลับไปที่ Server
อย่างที่สองคือ การทำงานโดยยึดเป้าหมาย (Goal Oriented) โดย AI Agent นั้นจะมีการออกแบบมาแบบมีเป้าหมายอย่างชัดเจน ตัวอย่างจากในสื่อเช่น หุ่นยนต์ส่งเนยในเรื่อง Rick and Morty ที่เกิดมาเพื่อส่งเนยเท่านั้น Agentic AI ก็เช่นกัน มันก็ต้องมีเป้าหมาย ตั้งแต่เป้าหมายง่าย ๆ เช่นการ Filter Log จากเหตุการณ์ต่าง ๆ จนไปถึงความสามารถในการสร้าง Firewall Rule สำหรับปิดกั้นการเชื่อมต่อที่เป็นอันตรายก็ทำได้เช่นกัน
อย่างที่สามคือ ความสามารถในการทำงานอัตโนมัติ (Autonomy) คือ การที่ AI Agent สามารถทำงานได้ด้วยตัวเอง พาตัวเองไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้โดยไม่ต้องพึ่งพาการกำกับจากมนุษย์ตลอดเวลา สิ่งนี้อาจจะต้องการความสามารถที่เพิ่มเติมเข้ามา เช่น ความสามารถในการตัดสินใจ (Decision-Making Skill) และการใช้เหตุผล (Reasoning Skill) เข้ามาช่วยเหลือเพื่อให้ตัวมันสามารถตัดสินใจและทำงานโดยอัตโนมัติได้
อย่างที่สี่คือ การปรับตัว (Adaptation) ด้วยความที่ AI Agent จะต้องทำงานอยู่ตลอดเวลา มีข้อมูลไหลเข้ามา และเห็นผลของการตัดสินใจอยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน ทำให้มันจำเป็นที่จะต้องปรับตัวเพื่อให้เข้ากับชุดข้อมูลใหม่ที่เราป้อนเข้าไปอย่างต่อเนื่องได้ และมีกลไกการรับข้อเสนอแนะ (Feedback Mechanism) เพื่อให้มันรับรู้ผลลัพธ์และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้
การนำมาใช้งาน
ปัจจุบันมีการนำ Agentic AI เข้ามาใช้งานในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อย ๆ ตัวอย่างเช่น Zoom ซึ่งเป็นแอปสำหรับการทำ Video Conference มีการเปิดตัว AI Companion ที่ทำให้เราสามารถสั่ง Zoom คล้าย ๆ กับการมีเลขาส่วนตัวได้ เช่น การให้จัดตารางนัดหมาย, การทำร่างกำหนดหัวข้อการประชุม, การจดบันทึกการประชุม และร่างตอบอีเมลเป็นต้น
หรือกระทั่งในด้าน Cybersecurity เองก็มีการนำมาใช้เช่นกัน ที่เพิ่งเปิดตัวไปสด ๆ ร้อน ๆ ไม่กี่วันก่อนหน้านี้คือฝั่ง Microsoft ที่เปิด Security Copilot ออกมา ภายในนั้นมีหลากหลาย Agent ให้เราเลือกใช้งานได้ เช่น Phishing Triage Agent ที่ใช้ในการคัดกรองและแจ้งเตือน Phishing, Vulnerability Remediation Agent ที่สามารถค้นหาอุปกรณ์ที่มีความเสี่ยงภายในเครือข่ายขององค์กร และทำการติดตั้ง Patch ของ OS ที่สามารถปิดช่องโหว่ได้
นี่เป็นเพียง 2 ตัวอย่างที่นำเอา Agentic AI เข้ามาใช้งาน แต่จริง ๆ แล้วมันยังมีอีกหลายตัวเยอะกว่านี้มาก ๆ ที่ไม่ได้ยกตัวอย่าง เราจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า Agentic AI ถูกนำไปใช้งานอย่างแพร่หลายเพื่อช่วยเราให้ทำงานได้ง่ายขึ้นในหลากหลายด้าน ตั้งแต่ปัญหาที่เราเจอได้ในชีวิตประจำวัน จนไปถึงเรื่องที่ค่อนข้าง Specialised มาก ๆ เช่นกัน
สรุป
Agentic AI นับว่าเป็นอีกก้าวที่สำคัญของ AI เลยก็ว่าได้ ด้วยความสามารถในการทำงานด้วยตัวเอง การทำงานโดยยึดเป้าหมาย และความสามารถในการปรับตัว ทำให้ AI Agent ตัวนี้เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมาก ๆ และเปิดความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ในการใช้งาน เช่น การทำงานบนระบบอัตโนมัติ (Automation) ต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันมีการนำมาใช้ในหลากหลายวงการ ส่วนในอนาคต AI ตัวนี้จะทำเพิ่มขีดความสามารถไปมากมายขนาดไหน คงต้องรอติดตามและรอใช้งานกันต่อไป