ปัญหาเรื่องจุฬาฯ ขอคืนพื้นที่จาก ‘อุเทนถวาย’ เป็นปัญหาที่เรื้อรังมาอย่างยาวนาน โดยเริ่มมาตั้งแต่ปี 2518 จนถึงปัจจุบัน และทางอุเทนถวายได้มีการต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่มาโดยตลอด และในปี 2566 อุเทนถวายได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางแต่ก็ถูกยกฟ้อง โดยระบุว่าจุฬาฯ คือผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินตามกฏหมาย ปัจจุบัน คุณศุภมาส อิศรภักดี รมว.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จะต้องเข้ามาจัดการกับปัญหาความขัดแย้งดังกล่าว จึงอยากชวนมาย้อนดูไทมไลน์ว่าปัญหาการต่อสู้เพื่อแย่งชิงพื้นที่มีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง

1. ปัจจุบันที่ดินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีพื้นที่ 1,153 ไร่ ซึ่งได้จัดแบ่งตามผังแม่บทได้เป็น 3 ส่วน คือ พื้นที่เขตการศึกษาประมาณ 50% พื้นที่สำหรับส่วนราชการยืมหรือเช่าใช้ประมาณ 20% และพื้นที่เขตพาณิชย์ประมาณ 30% ซึ่งการจัดหาผลประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว เป็นไปตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้สถาปนาจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คือ การที่มหาวิทยาลัยจะสามารถดำเนินพันธกิจหลักได้นั้น จำเป็นต้องมีทรัพยากร เกื้อหนุนเพิ่มเติมจากงบประมาณแผ่นดิน

2. จุดเริ่มต้นของอุเทนถวายนั้น ต้องย้อนกลับไปในสมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชปรารภไว้ แต่ยังมิทันได้โปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการ ก็เสด็จสวรรคตก่อน กระทั่งปี 2456 กระทรวงธรรมการ หรือกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน ซึ่งมีเจ้าพระยาพระเสด็จสุเรนทราธิบดี (หม่อมราชวงศ์เปีย มาลากุล) เป็นเสนาบดี ได้จัดการก่อสร้างโรงเรียนฝึกการหัตถกรรมเพื่อถวายเป็นพระบรมราชานุสรณ์แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่บริเวณถนนตรีเพชร และนำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานนามพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า “โรงเรียนเพาะช่าง” และเสด็จพระราชดำเนินเปิดเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2456

3. สืบเนื่องจากแผนแม่บทจัดการที่ดิน 1,153 ไร่ของจุฬาฯ ซึ่งได้ดำเนินการขอคืนพื้นที่อุเทนถวายจำนวน 20 ไร่ 3 งาน 29 ตารางวา ที่อุเทนถวายทำสัญญาเช่าเป็นเวลา 68 ปี ตั้งแต่ปี 2478-2546 เพื่อขยายเขตพื้นที่การศึกษาตามโครงการพัฒนา ซึ่งจุฬาฯ ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ ได้เจรจาขอคืนที่ดินมาตั้งแต่ปี 2518 แต่ไม่เป็นผล

4. ‘จุฬาฯ’ ขอคืนพื้นที่จาก ‘อุเทนฯ’ 3 ครั้ง ครั้งแรกวันที่ 6 ธันวาคม 2549 จุฬาฯ ได้ส่งหนังสือถึงอุเทนถวายหลังจาก “คณะกรรมการเพื่อพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง” (กยพ.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุดแต่งตั้งขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้ มีมติชี้ขาดให้อุเทนถวายคืนพื้นที่ให้กับจุฬาฯ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2549 พร้อมทั้งชำระค่าเสียหายปีละประมาณ 1,000,000 บาทเศษ จนกว่าจะส่งมอบพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยจากนั้นจึงตามมาด้วยหนังสือฉบับที่ 2 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2550 และฉบับที่ 3 ลงวันที่ 10 กรกฎาคม 2550

5. อุเทนถวายชี้แจงว่า การที่นายทวีชัย เหลี่ยมศิริวัฒนา รักษาราชการแทนผู้อำนวยการอุเทนถวาย ลงนามในคำสั่งหนังสือลงวันที่ 11 มีนาคม 2547 ตกลงขนย้ายและส่งมอบพื้นที่คืนให้จุฬาฯ นั้น ถือเป็นการปิดบังซ่อนเร้นบันทึกสัญญา เนื่องจากนายทวีชัยเพิ่งเข้ามารักษาการเป็นปีแรก ไม่เคยเสนอข้อตกลงดังกล่าวให้สภาคณาจารย์ ศิษย์เก่า และศิษย์ปัจจุบัน รับทราบ เพื่อรับรองมติ

ดังนั้นอุเทนถวายจึงรวมตัวร้องขอความเป็นธรรมกับนายทวีชัย นำมาสู่บันทึกข้อตกลงในวันที่ 21 มีนาคม 2548 สรุปใจความว่า ข้อตกลงเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2547 ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบธรรม ขอให้นายทวีชัยทำหนังสือยกเลิกบันทึกฉบับดังกล่าว ทำหนังสือที่เกี่ยวข้องกับการขอย้าย โดยเปิดเผยทุกเรื่องก่อนการลงนาม และทำหนังสือตอบเรื่องถวายฎีกา ที่สโมสรนักศึกษาอุเทนถวาย ได้ทูลเกล้าฯถวายฎีกาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 2 ครั้ง เพื่อทรงมีพระบรมราชวินิจฉัยลงมา

6. กลุ่มศิษย์เก่าและศิษย์ปัจจุบัน ประมาณ 50 คน เดินทางมาชุมนุมที่หน้ากระทรวงศึกษาธิการ เพื่อยื่นหนังสือขอให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่อุเทนถวาย และขอให้ตั้งอยู่ที่เดิม ต่อนายพงศ์เทพออกมารับด้วยตัวเอง หลังจากรับหนังสือแล้ว นายพงศ์เทพชี้แจงว่า ประเด็นที่นักศึกษามายื่นหนังสือ เป็นประเด็นเดียวกับที่ผู้บริหารอุเทนถวายได้เคยมาหารือ ซึ่งข้อสรุปสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ขอพิจารณาในข้อกฎหมายต่าง ๆ ก่อน

7. ปี 2548 อุเทนถวายได้ทำบันทึกข้อตกลงว่าจะย้ายไปก่อสร้างสถาบันใหม่ที่ตำบลบางปลา อำเภอบางพลี จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมย้ายบุคลากรและนักศึกษาให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2548 แต่การย้ายยังติดขัดปัญหาและเป็นไปอย่างล่าช้า

ปี 2550 สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตั้ง ‘คณะกรรมการพิจารณาชี้ขาดการยุติในการดำเนินคดีแพ่งของส่วนราชการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (กยพ.)’

ระหว่างนั้นสโมสรนักศึกษาอุเทนถวายได้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา 2 ครั้ง เพื่อขอไม่ให้มีการย้ายออกจากพื้นที่เดิม ปี 2552 กยพ. มีมติชี้ขาดให้อุเทนถวายขนย้ายทรัพย์สินและคืนพื้นที่ให้จุฬาฯ รวมทั้งชำระค่าเสียหายปีละล้านบาทเศษจนกว่าจะส่งมอบพื้นที่เสร็จ ผลการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา สำนักราชเลขาธิการได้มีหนังสือยืนยันผลชี้ขาดตามมติของ กยพ. และทางจุฬาฯ ก็ไม่ได้ทวงเงินค่าเสียหายจากอุเทนถวายแต่อย่างใด

8. ผลการทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา สำนักราชเลขาธิการได้มีหนังสือยืนยันผลชี้ขาดตามมติของ กยพ. และทางจุฬาฯ ก็ไม่ได้ทวงเงินค่าเสียหายจากอุเทนถวายแต่อย่างใด

9. ในเดือนธันวาคม ปี 2565 ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้อุเทนถวายย้ายออกจากพื้นที่ โดยจะต้องดำเนินการภายใน 60 วันหลังจากมีคำสั่ง ซึ่งปัญหานี้ยังเรื้อรังมาจนถึงปัจจุบัน

10. ผ่านมาหลายรัฐบาล ปัญหาดังกล่าวก็ยังไม่สะเด็ดน้ำ จนเปลี่ยนจากรัฐบาลประยุทธ์มาสู่รัฐบาลเศรษฐา ซึ่งมี ศุภมาส อิศรภักดี เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมคนใหม่ ที่ต้องเจอกับประเด็นร้อนดังกล่าว รวมถึงต้องหาทางออกที่ Win-Win ให้กับทั้งสองฝ่าย

11.ศุภมาสยังระบุด้วยว่า ได้มีการพูดคุยกับตัวแทนอุเทนถวายเมื่อวานนี้ และการชุมนุมของนักศึกษาก็เป็นไปด้วยความสงบ ไม่ได้ลงมาบนถนน ยืนยันว่ากระทรวงฯ พร้อมที่จะประสานให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี และจากท่าทีของนักศึกษาอุเทนถวายก็ไม่ได้เหมือนในอดีตที่ผ่านมา ทุกคนพูดคุยด้วยเหตุผล

อย่างไรก็ดี ปัญหาดังกล่าวดูเหมือนจะต้องจัดการไปในแง่ที่มากกว่าเรื่องของข้อกฎหมาย เพราะมีมิติความขัดแย้งของคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นสถานการณ์จุฬาฯ ขอคืนพื้นที่จากอุเทนถวายจะดำเนินไปในทิศทางไหน อาจจะต้องรอดูการทำงานของคุณศุภมาส อิศรภักดี กันต่อไป ว่าจะมีวิธีการจัดการอย่างไรที่ทุกฝ่ายจะเห็นพ้องต้องกันได้

AUTHOR

นักศึกษาที่สนใจงานการศึกษาโดยเฉพาะระบบที่มาใหม่ พร้อมเรียนรู้ให้ทันเสมอ/ช่างภาพสมัครเล่น