“บาร์เกย์” ถือเป็นหนึ่งศูนย์กลางของวัฒนธรรมเหล่า LGBTQ+ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานเกือบ 200 ปี หรืออาจจะมากกว่านั้น เพราะตัวตนที่ถูกซ่อนงำซึ่งเป็นความลับของพวกเขา ทำให้บาร์เกย์กลายเป็นแหล่งรวมเรื่องราวและอัตลักษณ์ชั้นดีของเหล่า LGBTQ+ ในวันที่พวกเขายังถูกตีตราว่าเป็นคนบาป ต้องหลบซ่อน และถูกผลักให้อยู่ในมุมมืดของสังคม ‘บาร์’ จึงเปรียบเสมือนหลุมหลบภัย เป็นท่าเรือท่ามกลางพายุทางสังคม ที่ผู้มีความหลากหลายทางเพศจะสามารถดำรงอยู่ในฐานะตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาอย่างไม่รู้สึกผิดแผกจากคนรอบข้าง

ประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ของบาร์เกย์ค่อนข้างคลุมเครือและไม่ชัดเจนนัก เนื่องจากบาร์เกย์ในยุคก่อนหน้า ถูกเก็บเป็นความลับอย่างเข้มงวด เพราะการเป็นผู้ที่มีความหลายทางเพศถือเป็นสิ่งต้องห้ามร้ายแรงถึงขั้นประหารชีวิต อย่างไรก็ดี บันทึกเกี่ยวกับบาร์เกย์ที่เก่าแก่ที่สุดที่ค้นหาได้ปรากฏในปี 1810 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีชื่อว่า White Swan ที่ถูกบุกและค้นพบโดยตำรวจ นำไปสู่การประหารชีวิต John Hepburn และ Thomas White ในข้อหาที่พวกเขาเป็นเกย์ นอกจากนี้ยังมีบาร์เกย์และบาร์เลสเบี้ยนที่ถูกบันทึกอีกหลายสถานที่ แต่ละที่มีอายุมากกว่า 100 ปี อย่างเช่น Zanzibar ตั้งอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส โดยบาร์แห่งนี้เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1885 และเพิ่งจะเปิดตัวลงไปในปี 2010

ราว ๆ ปี 1880 เป็นต้นมา บาร์เกย์เริ่มได้รับความนิยมในหลา ยๆ ประเทศทั่วยุโรป บาร์เกย์ในยุคแรก ๆ มักจะมีอายุที่สั้น แต่เป็นล้วนเป็นสนามรบที่สำคัญในการต่อสู้เพื่อสิทธิของชาว LGBTQ+ และแสดงให้เห็นถึงประวัติศาสตร์ของชาว LGBTQ+ ที่มีมาอย่างยาวนานแทรกซึมอยู่ทุกหนทุกแห่ง และบาร์เกย์ที่ถือเป็นชุมชนขนาดย่อมของผู้มีความหลากหลายทางเพศนี้เอง ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับชาว LGBTQ+ ทั่วโลก

ในช่วงปี 1960 เลสเบี้ยน เกย์ ไบเซ็กชวล และการมีความสัมพันธ์ระหว่างเพศเดียวกันยังคงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย ในเมืองต่าง ๆ รวมไปถึงในสหรัฐอเมริกา ผับและบาร์เป็นสถานที่เดียวที่กลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศจะสามารถแสดงออกอย่างเปิดเผยและเข้าสังคมได้โดยไม่ต้องกังวลสายตาผู้อื่น แต่หน่วยงานของรัฐนิวยอร์กได้พยายามเข้ามามีบทบาทในชีวิตลับ ๆ ของชาว LGBTQ+ โดยการลงโทษและสั่งปิดสถานที่ให้บริการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลสงสัยว่าเป็น LGBTQ+ พวกเขาให้เหตุผลว่าการรวมตัวของกลุ่มที่มีความหลากหลายทางเพศนั้น “ไม่มีความเป็นระเบียบ” ซึ่งถือเป็นการเลือกปฏิบัติทางสังคมอย่างเห็นได้ชัด

แต่ด้วยการต่อสู้ของนักเคลื่อนไหวที่สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ ส่งผลให้ในปี 1966 กฎหมายเหล่านี้ถูกยกเลิก ทำให้เหล่า LGBTQ+ สามารถเอ็นจอยกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้ แต่ก็ยังมีข้อจำกัดว่าด้วยการมีพฤติกรรมรักร่วมเพศในที่สาธารณะ เช่น การจับมือ จูบ หรือเต้นรำกับเพศเดียวกัน ยังคงเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายอยู่ อีกทั้งการเข้าควบคุมและคุกคามบาร์เกย์ของตำรวจในนิวยอร์กยังคงดำเนินต่อไป

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1969 กรมตำรวจนิวยอร์กได้ทำการบุกโจมตีไนต์คลับเกย์ที่ชื่อว่า Stonewall Inn (สโตนวอลล์) โดยตำรวจได้ลากพนักงานและลูกค้าออกจากบาร์อย่างหยาบคาย ทั้งยังมีการทำร้ายลูกค้าที่เป็น LGBTQ+ การคุกคามของตำรวจและการเลือกปฏิบัติทางสังคมของรัฐในครั้งนั้น ทำให้เกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงระหว่างเจ้าหน้าที่ที่บังคับใช้กฎหมายกับเหล่าเกย์และเลสเบี้ยนที่ได้ตอบโต้เจ้าหน้าที่ตำรวจจนล่าถอยไป

ต่อมาได้มีเหตุการณ์จลาจล ณ สโตนวอลล์ ซึ่งได้เป็นตัวจุดประกายการเคลื่อนไหวให้กับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ และนำไปสู่การประท้วงของเหล่า LGBTQ+ ทั้งในสหรัฐอเมริกาและประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก เหตุการณ์ที่สโตนวอลล์ยังถูกบันทึกว่าเป็น ‘เหตุการณ์เชิงสัญลักษณ์’ ที่สำคัญที่สุดในการเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิของชาว LGBTQ+ ในยุคปัจจุบัน และยังถือเป็นตัวแบ่งระหว่างช่วงเวลา “BC” (ก่อน) และ “AD” (หลัง) ของการได้มาซึ่งสิทธิของชาว LGBTQ+ ในอเมริกาอีกด้วย

หลังจากวันครบรอบหนึ่งปีของการเกิดการจลาจลเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1970 ผู้คนหลายพันคนเดินขบวนไปตามถนนในแมนฮัตตันจาก Stonewall Inn ไปยัง Central Park และมีจำนวนเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ปี จากจุดเริ่มต้นบาร์เกย์ สู่สัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจของชาวสีรุ้งที่เป็นต้นกำเนิด Pride Day และ Pride Month มาจนถึงทุกวันนี้

CREATED BY

เด็กหญิงผู้เติบโตเป็นหญิงสาวจากการลองผิดลองถูกในทุกๆ วัน มีความฝันที่อยากจะหัวเราะและร้องไห้แบบมนุษย์ทั่วไป และปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่เพื่อเรียนรู้สิ่งที่ไม่เคยพบเจอตลอดเวลา