สมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย

วงการกีฬาไทยกำลังถูกจับตามองต้อนรับ ‘ซีเกมส์ 2025’ ไล่ไปตั้งแต่ ‘หมิว พรปวีณ์’ มือหนึ่ง ‘แบดมินตัน’ หญิงไทย ขอถอนจากตัวซีเกมส์เพราะปมเบี้ยเลี้ยง, ‘ณี สุธิยา’ จากวงการยิงเป้าบินลาทีมชาติ พร้อมตั้งคำถามเรื่องความโปร่งใส, ‘เปตองไทย’ โดนสั่งแบนจนสิทธิการแข่งขันสั่นคลอน ลามไปจนถึงการร้องเรียนเรื่อง ‘หักหัวคิว’ ใน ‘ตะกร้อไทย’

และเรื่องที่อาจไม่ได้เกี่ยวข้องกับซีเกมส์ในประเด็นร้อนสดใหม่อย่าง การถูกปลดของ ‘โค้ชอิชิอิ’ ทั้งหมดไม่ใช่เหตุการณ์เดี่ยว ๆ ที่เกิดแล้วจบไป แต่คือสัญญาณเตือนจากระบบเดียวกันว่า โครงสร้างและธรรมาภิบาลของ ‘สมาคมกีฬา’ ยังมีช่องโหว่สำคัญที่กระทบทั้งสิทธิ ความเชื่อมั่น และศักดิ์ศรีของนักกีฬา รวมถึงศรัทธาของแฟนกีฬาทั้งประเทศ

ในทางกฎหมาย ‘สมาคมกีฬา’ เป็นองค์กรเอกชนที่ได้รับการรับรองจาก ‘การกีฬาแห่งประเทศไทย’ (กกท.) มีหน้าที่พัฒนาชนิดกีฬา วางเกณฑ์คัดตัวทีมชาติ จัดระบบการแข่งขัน ดูแลสวัสดิการนักกีฬา และประสานงานกับสหพันธ์นานาชาติ โดยที่ทุกอย่างต้องเดินบน ‘กติกากลาง’ ที่รัฐกำกับไว้ เช่น คุณสมบัติกรรมการ ขั้นตอนขึ้นทะเบียนและคัดเลือกนักกีฬา ไปจนถึงเงื่อนไขการส่งเข้าแข่งขัน

แต่เมื่อกติกาไม่ถูกสื่อสารให้ชัดเจน หรือไม่ถูกบังคับใช้อย่างเหมาะสม ผลที่ตามมาคือความไม่ไว้วางใจ และความขัดแย้งที่ถูกผลักดันออกสู่พื้นที่สาธารณะครั้งแล้วครั้งเล่า

หากมองเป็น แบบแผนเชิงระบบ (Pattern) ปัญหามักเริ่มจาก “รายละเอียดที่ไม่ชัด” เช่น หลักเกณฑ์คัดตัวที่ประกาศไม่ทันเวลา หรือยืดหยุ่นโดยไร้คำอธิบาย, สัญญาทีมชาติที่ไม่บอกโครงสร้างเบี้ยเลี้ยง–โบนัส–ลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ให้โปร่งใส, การจัดสรรงบประมาณที่สังคมตรวจสอบยาก และช่องทางร้องเรียนที่ไม่มีหลักประกันให้ผู้แจ้งเบาะแสกล้าที่จะออกมาพูด

ผลคือความรู้สึก “ไม่ได้รับความเป็นธรรม” สะสมในหมู่นักกีฬา ขณะเดียวกันแฟนกีฬาก็ไม่เห็นภาพรวมที่เชื่อมโยงว่า ปัญหาไม่ได้เกิดจากบุคคลหนึ่งคน แต่เกิดจากระบบที่ยังไม่อัปเกรดให้เท่าทันมาตรฐานโลก เมื่อเทียบกับแนวปฏิบัติสากล หลายประเทศต่างใช้หลัก ธรรมาภิบาลกีฬา (Sports Governance) เป็นเข็มทิศร่วมกัน ไล่ไปตั้งแต่

  • ความโปร่งใส (เปิดงบ รายงานประจำปี มติสำคัญ) 
  • ความรับผิด (มีคณะกรรมการตรวจสอบและจริยธรรมอิสระ)
  • ความเป็นประชาธิปไตยในการตัดสินใจ (กระบวนการเลือกตั้งที่ตรวจสอบได้)
  • การมีส่วนร่วมของนักกีฬา (Athlete Commission ที่มีสิทธิในบอร์ดหรือคณะทำงาน)

ตลอดจนกลไกการลงโทษเมื่อไม่ปฏิบัติตามกติกา จุดร่วมของประเทศที่ทำได้ดีคือ “ผูกแรงจูงใจ” เข้ากับกติกา เช่น การอุดหนุนงบหรือสิทธิส่งแข่งขันที่ขึ้นอยู่กับคะแนนธรรมาภิบาลที่วัดผลได้จริง ไม่ใช่ความรู้สึก

สำหรับบริบทไทย ทางออกที่จับต้องได้ควรต้องเริ่มจากฝั่งนโยบาย โดย กกท. ควรกำหนด “มาตรฐานขั้นต่ำด้านธรรมาภิบาลสมาคม” ที่อิงหลักสากล พร้อมระบบประเมินและเปิดเผยผลรายปีให้สาธารณะรับรู้ ที่สำคัญ การผูกงบอุดหนุนและสิทธิการส่งแข่งขันกับระดับการปฏิบัติตามมาตรฐานนั้น ในเชิงปฏิบัติ แต่ละสมาคมควรรีบทำ 4 เรื่องพร้อมกันคือ
เผยแพร่เกณฑ์คัดตัวทีมชาติล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร และอธิบายข้อยกเว้นด้วยเหตุผลเชิงหลักเกณฑ์ 

  1. ทำ ‘สัญญาทีมชาติ’ กลางที่ระบุโครงสร้างค่าตอบแทน เบี้ยเลี้ยง โบนัส และสิทธิภาพลักษณ์ให้ชัดเจน 
  2. จัดตั้งคณะตัวแทนนักกีฬาให้มีเสียงในกระบวนการตัดสินใจ
  3. เปิดงบ-รายงาน-มติสำคัญในรูปแบบที่อ่านง่าย (หนึ่งหน้า) เพื่อให้แฟนกีฬาและผู้สนับสนุนติดตามได้จริง

ด้านสังคมเองก็ควรมีบทบาทมากกว่าการตามดราม่า โดยทุกคนในฐานะแฟนกีฬา สื่อท้องถิ่น ผู้สนับสนุน และชุมชนกีฬา ควร “ตั้งคำถามด้วยข้อมูล” ผ่านการขอเอกสารสาธารณะจากสมาคม ติดตามเส้นทางการใช้จ่ายและหลักเกณฑ์คัดตัว สนับสนุนเสียงของนักกีฬาเมื่อพวกเขาร้องหาความเป็นธรรม และชี้ชวนให้เห็นตัวอย่างที่ดี เพราะการยกมาตรฐานทั้งระบบไม่ได้เกิดจากแรงขับของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เกิดจากแรงร่วมของทุกภาคส่วนที่เห็นเป้าหมายเดียวกัน

ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่าสมาคมกีฬาไทย ‘ล้มเหลว’ ไปซะหมด ยังมีหลายชนิดกีฬาที่เริ่มพัฒนาโครงสร้างการสื่อสาร รายงาน และการคัดเลือกอย่างเป็นระบบมากขึ้นแล้ว เพียงแต่ในภาพรวมทั้งระบบยังต้องการ “มาตรฐานร่วม” ที่ชัดและบังคับใช้ได้จริง เพื่อให้ความสำเร็จของนักกีฬาไม่ได้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจเฉพาะหน้า แต่ยืนอยู่บนกติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับร่วมกัน

ท้ายที่สุด เราควรกลับไปที่คำถามใหญ่ของสังคมกีฬาบ้านเราว่า เราต้องการเพียง “ชัยชนะ” หรือเราต้องการ “ชัยชนะที่ยุติธรรม” ด้วย? เพราะชัยชนะที่แลกมาด้วยความไม่เป็นธรรมนั้น อาจทำลายทั้งความฝันของนักกีฬาและศรัทธาของแฟน ๆ ในระยะยาว ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่เราควรจริงจังกับการยกมาตรฐานธรรมาภิบาลตั้งแต่วันนี้ ไม่ใช่รอให้เกิดดราม่าแล้วค่อยมาแก้กันอยู่ทุกครั้ง

และในฐานะที่เป็นผู้ชม ผู้ติดตาม และคนที่รักกีฬา อยากขอทิ้งคำถามชวนคิดร่วมกันว่า “เรายังอยากเห็นนักกีฬาทีมชาติประสบความสำเร็จ และร่วมกันเชียร์อย่างภาคภูมิใจอยู่ไหม? เมื่อยอดฝีมือยังถูกตอบแทนด้วยบางสิ่งอย่างไม่เป็นธรรม”

อ้างอิง