‘แรร์เอิร์ธ’ (Rare Earth Elements : REEs) หรือแร่หายาก กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงในช่วงที่ผ่านมา หลังจากที่ในการประชุมผู้นำอาเซียน รัฐบาลไทยกับรัฐบาลสหรัฐฯ ได้มีการลงนาม MOU แรร์เอิรธ์ร่วมกัน ส่งผลให้เรื่องนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความพร้อมและความเหมาะสม
แรร์เอิร์ธ เป็นกลุ่มโลหะสารพัดประโยชน์ที่มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรมเทคโนโลยีขั้นสูง ไม่ว่าจะเป็น โทรศัพท์มือถือ, ฮาร์ดไดรฟ์คอมพิวเตอร์, รถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด และจอมอนิเตอร์นอกจากนี้มันยังถูกนำไปใช้งานด้านการปกป้องประเทศ อาทิ ระบบเรดาร์, ระบบโซนา และระบบนำทางเลเซอร์ เป็นต้น ซึ่งแน่นอนว่าประโยชน์ของมันสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้ และในปัจจุบันประเทศที่ถือครองแรร์เอิรธ์มากที่สุดก็คือ ‘จีน’
ในปัจจุบัน จีนเป็นประเทศที่ผูกขาดแรร์เอิร์ธตั้งแต่กระบวนการสกัดและการแปรรูป ข้อมูลจากสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ระบุว่า จีนมีสัดส่วนการผลิตแรร์เอิร์ธอยู่ที่ประมาณ 61% ของโลก และมีสัดส่วนในการแปรรูปแร่ดังกล่าวสูงถึง 92% ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงการครองห่วงโซ่อุปทานแรร์เอิร์ธของจีน ทั้งยังมีอำนาจในการกำหนดว่าจะส่งแร่สารพัดประโยชน์นี้ให้บริษัทใดหรือไม่ส่งให้กับบริษัทใด
การเป็นเจ้าตลาดแรร์เอิร์ธของจีนเกิดจากนโยบายรัฐบาลที่ดำเนินอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 1992 ‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ ผู้นำจีน (ในตอนนั้น) ได้ทำการปฏิรูปนโยบายเศรษฐกิจของจีน เขาเคยกล่าวเอาไว้ว่า “ตะวันออกกลางมีน้ำมัน ส่วนจีนมีแรร์เอิร์ธ”
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมได้ให้ข้อมูลที่น่าสนใจเอาไว้ว่า นับตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 20 จีนได้ให้ความสำคัญอย่างมากกับการพัฒนาการผลิตและแปรรูปแรร์เอิร์ธ แต่ในขณะเดียวกันก็จะมีการคำนึงถึงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมค่อนข้างต่ำ รวมถึงมีต้นทุนแรงงานที่ถูกกว่าประเทศอื่น ๆ และด้วยเหตุผลนี้ทำให้จีนสามารถตั้งราคาได้ต่ำกว่าคู่แข่งทั่วโลก
จากข้อมูลที่ให้มา หลายคนน่าจะเห็นแล้วว่าแรร์เอิร์ธถือเป็นไพ่เด็ดสำหรับการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ รวมถึงการต่อรองทางการค้ากับประเทศอื่น ๆ ในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่าง ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ได้ออกมาตรการขึ้นภาษีนำเข้าจากหลาย ๆ ประเทศอย่างดุเดือด และดูจะมุ่งเป้าทำสงครามทางการค้ากับจีนเป็นพิเศษ จีนก็ได้มีการเพิ่มเงื่อนไขการส่งออกแรร์เอิร์ธ 7 ชนิด โดย 7 ชนิดที่ว่านี้ส่วนใหญ่มักถูกนำไปใช้งานด้านการปกป้องประเทศ ซึ่งแร่เหล่านี้แปรรูปได้ยากและมีมูลค่ามากกว่าแร่อื่น ๆ
ตามรายงานของ ‘ศูนย์การศึกษาด้านยุทธศาสตร์และระหว่างประเทศ’ (CISIS) ระบุว่า เรื่องนี้ค่อนข้างส่งผลกระทบกับสหรัฐฯ เพราะไม่สามารถหาแรร์เอิร์ธ 7 ชนิดได้จากที่ไหนนอกจากประเทศจีน ในเวลาต่อมาจีนได้ขยายการควบคุมการส่งออกแรร์เอิร์ธให้เข้มงวดขึ้น โดยบริษัทต่างชาติทุกบริษัทจำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลจีน แม้จะเป็นการส่งออกเพียงเล็กน้อยก็ตาม ทั้งยังต้องบอกเหตุผลว่าจะนำแร่ดังกล่าวไปใช้งานในด้านไหนอีกด้วย
ทีนี้ตัดภาพกลับมาที่สหรัฐฯ ตามรายงานของ ‘สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาแห่งสหรัฐอเมริกา’ (USGS) ระบุว่า ระหว่างปี 2020-2023 สหรัฐฯ ได้พึ่งพาการนำเข้าสารประกอบและโลหะแรร์เอิร์ธกว่า 70% ของทั้งหมด และนี่จึงทำให้การเพิ่มเงื่อนไขการส่งออกของจีนส่งผลกระทบต่อสหรัฐฯ อย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็น การผลิตเทคโนโลยีทางการทหาร และอุตสาหกรรมการผลิตอื่น ๆ
สหรัฐฯ เป็นประเทศที่มีเหมืองแรร์เอิร์ธที่ยังคงดำเนินการอยู่ 1 แห่ง แต่ไม่สามารถทำการแยกแรร์เอิรธ์หนักได้ จึงต้องส่องไปแปรรูปที่จีน แต่สหรัฐฯ เองก็เคยมีบริษัทผลิตแรร์เอิรธ์เป็นของตัวเอง โดยในปี 1980 สหรัฐฯ เคยเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ของโลก แต่บริษัทเหล่านี้ก็ได้เริ่มเดินออกจากสนามการแข่งขันไปเมื่อจีนเข้ามาครองตลาด ทั้งในด้านขนาดและต้นทุน และทั้งหมดนี้อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้ทรัมป์ค่อนข้างให้ความสำคัญกับการหาตลาดแรร์เอิร์ธอื่น ๆ เพื่อลดการพึ่งพาจากจีน ซึ่งเขาได้มีความพยายามในการผลักดันการทำ MOU แรร์เอิรธ์กับยูเครนอีกด้วย นอกจากนี้ทรัมป์ยังมีความสนใจ ‘กรีนแลนด์’ เพราะกรีนแลนด์ติด 1 ใน 10 ของประเทศที่มีแรร์เอิรธ์มากที่สุด
ล่าสุด ทรัมป์ได้มีการลงนามทำ MOU แรร์เอิร์ธกับไทย รวมถึงญี่ปุ่น มาเลเซีย เวียดนาม และกัมพูชา สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับแรร์เอิร์ธมากขนาดไหน นอกจากนี้ในการพบกันระหว่างทรัมป์กับ ‘สี จิ้นผิง’ ประธานาธิบดีของจีนที่ประเทศเกาหลีใต้ ทรัมป์ได้เปิดเผยว่า สหรัฐฯ จะมีการลดภาษีนำเข้ากับจีน และจีนจะเปิดทางให้สหรัฐฯ เข้าถึงแรร์เอิร์ธได้มากขึ้น สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่าแรร์เอิร์ธคือตัวแปรสำคัญทางการค้าที่สหรัฐฯ ยังจำเป็นต้องพึ่งพาจีนอยู่ในขณะนี้
อ้างอิง
