ทุกครั้งที่เปิดโทรทัศน์แล้วกดดูช่องข่าวทั่วไปช่วงเที่ยงถึงเย็นเรามักเจอกับข่าวคดีฆาตรกรรมและทำร้ายร่างกายกันระหว่างสามีภรรยาหรือคู่รักอยู่เสมอ ไม่นับรวมเหล่าคนในโซเชียลมีเดียที่พากันตัดพ้อเรื่อง Toxic Relationship อยู่บ่อยครั้ง จนเกิดเป็นความสงสัยว่าทำไมเมื่อเขาใจร้ายกับเธอขนาดนั้น แล้วยังคงเลือกที่จะอยู่ในวังวนแห่งความสัมพันธ์ที่เป็นพิษล่ะ หรือเพราะว่าการทิ้งใครสักคนหนึ่งมันยากกว่าการทิ้งสิ่งของ? หรืออาจเป็นเพราะความจริงแล้วการนำตัวเองออกมาจากจุดนั้นมันมีเงื่อนไขและข้อจำกัดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก?

ตอนร่ำเรียนระดับชั้นประถมศึกษา หลายคนคงเคยได้เรียนเรื่องการตอบสนองจากสิ่งเร้ากันมาบ้าง อาจารย์บางท่านอาจนำกิ้งกือมาวางไว้บนถาดแล้วลองให้เราใช้ไม้สะกิดไปที่ตัวมัน เพื่อสังเกตพฤติกรรมขณะที่มันขดตัวเป็นวงกลม แล้วอธิบายว่าการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเป็นกลไกการป้องกันตัวจากอันตรายของสัตว์ ซึ่งแต่ละชนิดจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันไป ในส่วนของมนุษย์ก็มีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเหมือนกัน เช่น เอามือปิดจมูกเมื่อได้กลิ่นเหม็น เกาเมื่อรู้สึกคันระคายเคือง ปิดหูเมื่อได้ยินเสียงดัง หรี่ตาเมื่อเจอแสงจ้า หรือวิ่งเมื่อตกใจ ที่เกริ่นมายาวขนาดนี้เพียงแค่ต้องการให้ทุกคนรู้สึกสงสัยไปพร้อมกันว่า แล้วทำไมเมื่อเราเจอความสัมพันธ์ที่อันตราย ถึงไม่ยอมหลีกหนีออกมาล่ะ?

ก็เพราะเราไม่รู้ตัวว่ามันอันตรายน่ะสิ

เวลาเราตกหลุมรักใครสักคน อะดรีนาลีนหรือฮอร์โมนแห่งความสุขจะไหลไปทั่วร่างตามกระแสเลือด ซึ่งเป็นการตอบสนองในแบบเดียวกันกับตอนที่เรากินของหวานหรือใช้สารเสพติด เมื่อเราเริ่มรักแล้วมีความสุขเราจะยิ่งโหยหามันอีก ต้องการมันอีก และต้องการมากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่คุณตกอยู่ในมนต์สะกดแห่งสารสื่อประสาทในสมอง คุณจะหลงลืมว่าเธอหรือเขาคนที่คุณกำลังรักอย่างสุดหัวใจนี้อันตรายอย่างไร คุณจะรู้ตัวก็ต่อเมื่อเซโรโทนินหรือฮอร์โมนแห่งความเศร้าเข้ามาแทนที่ฮอร์โมนแห่งความสุข แต่ถึงกระนั้นมันก็ดูเหมือนว่าจะสายไปเสียแล้ว เพราะมันมีสิ่งอื่นกำลังเติบโตมากขึ้นทุกวันในจิตใจคุณ ซึ่งเหนี่ยวรั้งให้ทุกอย่างมันยากขึ้น

รู้ตัวอีกทีก็ผูกพันไปเสียแล้ว

สัตว์สังคมอย่างมนุษย์หวงแหนความสัมพันธ์มาก การแตกหักกับคนสนิทใกล้ตัวในกลุ่มเดียวกันถือเป็นเรื่องที่ทำร้ายจิตใจ ในทุกวันที่ผ่านพ้นไปร่างกายจะยิ่งหลั่งออกซิโทซินหรือฮอร์โมนแห่งความผูกพันมากขึ้น เพราะมันจะหลั่งออกมาทุกครั้งที่เรามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นโดยเฉพาะความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง อาทิ การกอด การจูบ การมีเซ็กส์ รวมถึงการสนทนาแบบ Deep Talk ที่ทำให้เรารู้สึกสนิทใจกับฝ่ายตรงข้าม ดังนั้นการหักล้างความสัมพันธ์เชิงลึกแบบกระทันหันจะส่งผลทำให้เรารู้สึกเศร้าแบบอัตโนมัติ ด้วยเหตุนี้เองเราจึงกลัวที่จะสูญเสียใครบางคนไป โดยเฉพาะคนใกล้ชิดที่สนิทกับเรา

ไม่ใช่แค่เราที่ผูกพัน แต่เป็นเขาคนนั้นที่ Toxic

ถ้าเขารักเราจริง เขาไม่ทำแบบนั้นหรอก ประโยคนี้อาจใช้กับมนุษย์ทุกคนไม่ได้ เพราะไม่ค่อยมีใครมีใครรู้ตัวว่าตนเองกำลัง Toxic และอย่าลืมว่าคนเหล่านี้ก็มีระบบการตอบรับฮอร์โมนไม่ต่างจากเรา เขารู้สึกรักและผูกพันเช่นกัน ทว่าความ Toxic นี่ล่ะที่ทำให้ทุกอย่างมันเลวร้ายลง รักที่มากจนเกินความพอดี ความผูกพันที่กลับกลายเป็นการกักขังหน่วงเหนี่ยว ทุกอย่างที่ทวีคูณจากนิสัยอันเป็นพิษยิ่งขับเน้นให้เขายิ่ง Toxic กับคุณมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เองมันจึงกลายเป็นเหมือนโซ่ที่ตัดไม่ขาด ยื้อยุดฉุดกระชากกันไปแบบนี้จนกว่าจะมีใครสักคนเหนื่อย หรือหลายครั้งมันก็ไม่ทันที่จะเหนื่อยแล้วแยกย้ายกันไป แต่กลับเป็นการห้ำหั่นและทำร้ายกันเองเสียก่อน ซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งคดีฆาตรกรรมทำร้ายในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ แต่ยังคงมีให้เห็นไม่เว้นวัน

การป้องกันที่ได้ประสิทธิภาพมากที่สุดเพียงทางเดียวคือการไม่เอาตัวลงไปในความสัมพันธ์แบบนั้นตั้งแต่แรก อดทนและใช้เวลาในการพิจารณคนให้มากขึ้น อย่าเพิ่งด่วนใจร้อนรับรักใครง่าย ๆ ใช้เวลาสังเกตพฤติกรรม การตอบสนองหรือรับมือต่อสถานการณ์ความกดดันของเขา รวมถึงทัศนคติในการคิดและตัดสินใจเรื่องเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน ความรักในยุคที่สิ่งแวดล้อมและสังคมบ่มเพาะให้คนกลายเป็นปีศาจได้ง่าย คุณอาจต้องใช้สมองมากกว่าหัวใจในการรักใครสักคนหนึ่ง อย่าเอาร่างกายและจิตใจเป็นเครื่องสังเวยแด่รักที่เป็นพิษ และคนที่คิดจะทำร้ายคุณไม่ว่าเขาจะรู้ตัวหรือไม่ เพราะบนโลกที่กว้างใหญ่นี้ สักวันคุณจะได้เจอคนที่เขารักคุณโดยปราศจากสสารอันตราย เพียงแค่ต้องอดทนและมีสติอยู่เสมอ

AUTHOR

ไม่ชอบคนข้างล่าง