ในช่วงเวลานี้บนโลกโซเชียลกำลังเต็มไปด้วยบทสนทนาถึงเรื่อง ‘Work-Life Balance’ หรือการหาจุดสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวว่ายังมีความจำเป็นอยู่หรือไม่ เนื่องจากมีคนเปิดประเด็นโดยการโพสต์ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวด้วยข้อความที่ว่า “ดูจากบรรยากาศเศรษฐกิจ 1 – 2 ปีต่อจากนี้ บอกเลยว่าใครยังทำงานชิล Work life Balance Slow life อยู่ไม่รอดแน่นอน ตอนนี้ต้องกลับเข้าสู่บรรยากาศ Work Hard to Survive แล้ว”

ซึ่งหลังจากที่ข้อความนี้ได้เผยแพร่ออกไป ประชาชนชาวเน็ตก็ถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝั่ง ก็คือฝั่งที่เห็นด้วยและมองว่าจากสภาพเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบัน Work-Life Balance อาจจะไม่ได้มีจริงและไม่ได้มีความจำเป็นมากขนาดนั้นแล้วกับอีกฝั่งที่ออกมาถกเถียงว่า การให้แรงงานทำงานหนัก ๆ ไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นแต่อย่างใด โดยตัวผู้เขียนอาจจะไม่ได้มาฟันธงว่าแนวความคิดใดเป็นความคิดที่ถูกต้องที่สุด แต่จะชวนมาเก็บข้อมูลให้เห็นถึงมุมมองของทั้ง 2 แนวคิด รวมถึงสิ่งที่ได้ประเด็นต่อยอดมาจากบนสนทนาบนโลกออนไลน์ ณ ขณะนี้

โดยหากลองย้อนมาที่ตัวความหมายของ Work-Life Balance ความหมายของมันคือ ตัวแนวคิดเกี่ยวกับการปรับสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานกับชีวิตส่วนตัว โดยมีจุดประสงค์เพื่อไม่ให้การทำงานหนักมากมีผลกระทบด้านลบต่อชีวิตด้านอื่น ๆ มากเกินไป ซึ่งข้อมูลจาก Kisi ที่อ้างอิงไว้ในงานของ TNN ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่ติดอันดับ 5 ของโลกที่ Work-Life Balance ไม่สมดุลที่สุด เพราะประชาชนทำงานเกินเวลาสูงถึง 15.10% แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น พนักงานก็ยังคงมีรายได้ไม่เพียงพอจนต้องรับงานนอกเสริมเข้ามาอีกด้วย

โดยในมุมมองแรกของต้นทางที่มองว่า ต้องทำงานให้หนักขึ้น กอดงานประจำให้แน่น เพราะช่วงนี้สภาพเศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงขาลงและมีแนวโน้มจะแย่ลงเรื่อย ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ในคนที่ไม่เชื่อว่า ‘Work-Life Balance’ มีอยู่จริง มักจะพูดถึงเรื่อง ‘Work-Life Flow’ หรือการทำงานให้เข้ากับจังหวะชีวิตตัวเอง กล่าวคือ แนวคิดนี้มองว่างานเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราไม่จำเป็นต้องแบ่งทั้ง 2 พาร์ตนี้ออกจากกันอย่างชัดเจน เพราะการที่แบ่งพาร์ตงานและชีวิตออกจากกันอย่างสุดโต่ง อาจจะทำให้ชีวิตวนลูป จนเข้าสู่วงจรของความเหนื่อย, เบิร์นเอ้าท์ และกลับมามีแรงทำงานอีกครั้ง ซึ่งวงจรนี้อาจจะส่งผลให้เราขาดความคิดสร้างสรรค์ได้ แนวคิดนี้จึงส่งเสริมให้ทำงานตามความสะดวกของชีวิตดีที่สุด เพราะเงื่อนไขชีวิต, วิธีการทำงาน และการใช้ชีวิตแต่ละคนไม่เหมือนกัน

ส่วนอีกมุมหนึ่งของสังคมมองว่า ‘แรงงานทำงานจนตายก็ไม่น่าจะช่วยให้เศรษฐกิจดีขึ้นหรอก’ เพราะโลกนี้เต็มไปด้วยงานที่หนักและห่วย หรือแม้แต่ทำงานหนักก็ไม่ได้แปลว่าผลกระทบจากเศรษฐกิจจะไม่ดีดให้เราออกจากงาน นอกจากนี้ ในปัจจุบันแรงงานในตลาดเลือกทำงานเท่าที่ตนจะเลือกได้ ในไตรมาสแรก 1/2567 มีกลุ่มคนว่างงาน 1.67% โดย 59.25% ให้เหตุผลมาจากการลาออก และมีจำนวนผู้ว่างงานระยะยาวประมาณ 7.9 หมื่นล้านคน ดังนั้นงานที่แรงงานเลือกทำจึงไม่ได้มีตัวเลือกมากเท่าไหร่นัก และผลกระทบที่ตามมาก็คือ ต้องทำงานหนักแต่ไม่ได้รับความก้าวหน้าใด ๆ หรือต้องทำงานหนักแต่ไม่มีการเติบโตในหน้าที่การงาน ซึ่งเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจที่พูดถึงแต่แรงงานโดยไม่พูดถึงมิตินายจ้างด้วยอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่คลอบคลุม และอีกหนึ่งประเด็นที่ถูกยกขึ้นมาในหัวข้อนี้ก็คือ ‘Decent Work and Economic Growth’ หรือการทำงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่ถูกเปิดประเด็นโดย ‘สฤณี อาชวานันทกุล’ นักวิจัยและนักอิสระด้านการเงิน

‘Decent Work and Economic Growth’ อยู่ในเป้าหมาย SDG (Sustainable Development Goals) หรือเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ 8 ที่ว่าด้วยเรื่องการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ครอบคลุม ยั่งยืน และก่อให้เกิดการจ้างงานอย่างเต็มที่และทุกคนมีงานที่มีคุณค่าทำ ซึ่งเป้าหมายนี้ครอบคลุมทุกมิติ ยกตัวอย่างเช่น การส่งเสริม SME, การยกระดับเทคโนโลยีและนวัตกรรม, การบรรลุการจ้างงานอย่างเต็มที่และมีผลตอบแทนที่ยุติธรรม, การให้ความสำคัญกับแรงงานเฉพาะทาง, การปกป้องสิทธิและเสรีภาพเกี่ยวกับการทำงานในมิติต่าง ๆ และประเด็นอื่น ๆ นั่นเอง

อย่างไรก็ดี การที่แรงงานทำงานหนักโดยไม่มี Work-Life Balance แต่มี Work-Life Flow ก็อาจจะเป็นวิธีหนึ่งสำหรับการใช้ชีวิตและการทำงานให้อยู่รอดต่อไปได้ แต่สิ่งที่มองต่อคือการหา Decent Work and Economic Growth เพื่อส่งเสริมให้เศรษฐกิจเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนโดยที่ไม่ใช่แต่เพียงให้แรงงานมุ่งทำงานหนักแต่เพียงอย่างเดียวนั่นเอง

ที่มา