วัวห้าขาโดนขูดหวย น้ำผุดจากบ่อที่ผู้คนกราบไหว้บูชากลายเป็นน้ำส้วม วัตถุประหลาดหน้าตาคล้ายหนอนวุ้นที่คนทั้งประเทศควานหากลายเป็นเจลลดไข้แช่น้ำ
ความเชื่อที่มนุษย์ชาวไทยต่างถูกหล่อหลอมผ่านเหตุการณ์ที่รายล้อมในพื้นที่ประเทศด้านขวานนี้ ทำให้ผู้คนต่างมองเห็นเสมอว่า ‘ความเชื่อ’ เป็นสิ่งที่น่าฉงน และเต็มไปด้วยเรื่องน่าแปลกเวลาเราเห็นผู้คนในแจ่ละสถานการณ์เชื่อเรื่องราวเหล่านั้นอย่างเต็มใจ
แม้จะรู้ดีว่าเราไม่ควรดูถูกความเชื่อใคร แต่จิตใต้สำนึกก็จะอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขบขันกับความประหลาดที่เกิดขึ้นภายในใจ ไม่ต่างกับ ‘ธนชาติ ศิริภัทราชัย’ ผู้กำกับจาก Salmon House และนักเขียนจาก Salmon Books ผู้สร้างสรรค์คอนเทนต์ที่โดดเด่นเรื่องการจิกกัดสังคมผ่าน Insight จนโดนใจใครหลายคน กลับมาเขียนเรื่องสั้นใหม่เป็นเล่มที่ 3 โดยนำเอาจุดที่น่าเอามาขยำขยี้ต่ออย่าง ‘ความเชื่อ’ ผสมผสานกับวิธีเล่าเรื่องในแบบของเขา จนกลายเป็นหนังสือรวมเรื่องสั้นหลากรสในชื่อ ‘You Ghost Me Every Sadturday Night’ ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่องานหนังสือช่วงต้นปีนี้ และได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเลยทีเดียว

วันนี้ SUM UP ได้มีโอกาสเข้าร่วมงาน Book Talk พูดคุยถึงที่มาที่ไป และไขข้อสงสัยในเรื่องราวของหนังสือเล่มนี้ เมื่อช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อให้แฟน ๆ ของคุณธนชาติที่อาจจะเคยเห็นหรือไม่เคยเห็นหนังสือเล่มนี้มาก่อน แต่รับรู้ถึงกระแสปากต่อปากว่ามันน่าสนใจขนาดไหน เราเลยอยากจะหยิบเรื่องราวที่พูดคุยกันในวันนั้นมาสรุปรวบยอดให้ได้อ่านกัน
ธนชาติเริ่มต้นเล่าว่าหนังสือแนวเรื่องสั้นทั้ง 3 เล่ม ตั้งแต่ You sadly smile in the profile picture (2562), The morning flight to sad francisco (2563) และ You ghost me every sadturday night (2567) ล้วนเป็นเรื่องสั้นแนวขำขื่น ที่ถูกนำเสนอผ่านมุมมองบิด ๆ เบี้ยว ๆ และสุดแสนจะเซอร์เรียลบางอย่าง ซึ่งในเล่มที่ 3 นี้ตอนแรกกะจะตั้งชื่อว่า ‘ในวันที่โลกแตก ไม่มีใครกลัวผี’ ที่เป็นเนื้อหาในเรื่องสั้นเรื่องสุดท้ายภายในเล่ม

แนวคิดของรูปแบบหนังสือแนวนี้ของเขาคือการหยิบเอาเรื่องราวที่ถูกคิดขึ้นเองในช่วงหัวโล่ง ๆ หรือเรื่องที่คิดขึ้นเพื่อขายงานโฆษณากับลูกค้า แต่เขาไม่ซื้อ อาจเพราะความแปลกเกินไป หรือไม่เข้ากับแบรนด์ของเขา จนเมื่อพล็อตเหล่านี้เริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเสียดายก็เริ่มก่อตัว เขาจึงอยากหาทางนำไอเดียเหล่านั้นมาต่อยอดให้กลายเป็นเรื่องสั้นของตัวเอง
ส่วนที่มาของหนังสือเล่มล่าสุดนี้ ธนชาติมองว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองสนใจมาตั้งแต่ยังเด็กโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่เด็กๆพ่อและแม่ของเขาทำงานที่อุบลราชธานี และในช่วงปิดเทอมก็เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เขาต้องไปอยู่กับพ่อแม่ ความบันเทิงที่ที่ติดตาตรึงใจ และรายล้อมเขาในช่วงนั้นคือ ‘การ์ตูนผี 5 บาท’ ที่หน้าผีต้องดุ ๆ สีหน้าปกเจ็บ ๆ
ซึ่งพอได้ลองเปิดอ่าน ธนชาติก็รู้สึกเหมือนได้เปิดโลกใบใหม่ ได้เห็นว่าโลกก็มีสิ่งแบบนี้ เรื่องราวก็สามารถดำเนินไปด้วยตรรกะแบบนี้ได้เหมือนกันนะ ฉี่รดศาลจะถูกผีหักคอเอาได้ เจ้าที่มาเอาคืนมนุษย์ได้ เขาเลยชอบและพยายามหาอ่านให้เยอะขึ้น และบอกด้วยว่าลายเส้นของนักเขียนที่ชอบที่สุดคือ ‘โต้ด โกสุมพิสัย’ ซึ่งมีลายเส้นเป็นเอกลักษณ์ และสะท้อนรูปแบบการ์ตูนไทยยุคนั้นได้เป็นอย่างดี
จากเนื้อหาความเชื่อสมัยเด็กที่เอามาเป็นจุดเริ่มต้นของหนังสือเล่มนี้ ก็ถูกผูกโยงด้วยเรื่องราวความเชื่อแปลก ๆ ที่ธนชาติพบเจอจากหน้าข่าวด้วยเหมือนกัน ที่หลาย ๆ คนน่าจะเคยสงสัยว่าทำไมพอมีคนหยิบหินจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์กลับบ้านไปต้องทวงกลับมาคืนด้วยอะไรแบบนั้น เพียงแค่คงไม่มีใครมีเวลาว่างพอมาต่อยอดความสงสัยนี้ด้วยการหยิบมาจิกกัดเสียดสีจนเป็นเรื่องเป็นราวแบบที่ธนชาติทำได้
“มันก็ดูนิสัยไม่ดีก็ได้เว้ย แต่มันคือการเปิดประตูความเป็นไปได้ใหม่ ๆ ทางความบันเทิงที่มันดูสนุกได้ และเราก็รู้ว่าอันนี้นิสัยไม่ดี มันแย่ แต่ไม่ใช่พอเรามองแบบนั้นแล้วปัดความคิดแบบนั้นทิ้งเลย” ธนชาติอธิบาย

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขาชอบเก็บข่าวแปลก ๆ เหล่านี้ไว้ในตะกร้าไอเดียเสมอเพื่อรอวันหยิบใช้ ซึ่งไม่ใช่แค่เป็นการมองข่าวแปลกด้วยสายตาเหยียดหยันแบบคนในเมือง แต่เขามองด้วยแว่นที่ว่าด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรม ต่อยอดไปอ่านสัมภาษณ์ชาวบ้านในพื้นที่เพื่อค้นหาว่าพวกเขาคิดเห็นอย่างไร และนำไปสู่การวิเคราะห์ต่อว่าการที่ชาวบ้านเลือกใช้ความเชื่อเป็นทางออก อาจจะมีจากโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ที่บกพร่อง จนพวกเขาพึ่งพาไม่ได้ และต้องเลือกเชื่ออะไรเป็นที่พึ่งสุดท้ายหรือเปล่า
อย่างเนื้อหาหลาย ๆ เรื่องสั้นในเล่มนี้ ธนชาติก็หยิบคลังไอเดียเรื่องความเชื่อมาใช้ไปแค่ 30% เพื่อลองตลาดดูเท่านั้น เพื่อค้นหาว่าด้วยท่าทีตลกเสียดสีกับเรื่องความเชื่อแบบนี้ คนไทยจะรับได้มั้ย ซึ่งหลังจากที่หนังสือเล่มนี้กลายเป็น Best Seller ไป เขาก็หวังใจว่าในเล่มถัด ๆ ไป เนื้อหาที่นำมาเสียดสีอาจจะใช้วิธีการที่ดาร์กขึ้น เข้มข้นขึ้นได้บ้าง
“บ้านเราเป็นผู้ส่งออกความเซอร์ที่เยอะ แล้วมันเซอร์ในลอจิกที่เราโตมาแล้วมันเขี้ยว แบบทำไมนะ ทำไม ทำไมบ้านเราถึงมีร่างทรงจากตัวละครสมมติได้ ทั้ง ๆ ที่มันเป็น Fictional Character ไม่มีจิตวิญญาณของคนจริง ๆ ด้วยวะ
หรือทำไมเจ้าป่าเจ้าเขาต้องตามไปทวงหินคืนจากคนที่หยิบไปต่างประเทศด้วย ทั้งที่พื้นที่ป่ามันมีคนเอาไปทำสิ่งแย่ ๆ มากมายกว่าที่เจ้าป่าเจ้าเขาควรจะไปจัดการกับคนพวกนั้น แล้วท่านบินไปยังไง ถ้ามีคนเอาหินไปสามก้อนต้องแยกร่างไปทวงมั้ย แบ่ง Route กันยังไง นี่ยังไม่รวมว่าหากจักรวาลนี้มีเจ้าที่จริง เจ้าป่าเจ้าเขาจะไปคุยกับเจ้าที่บ้านนั้นยังไงว่ามาทำไม แล้วทำไมต้องเข้าไปบ้านเขาด้วย มันเอามาเพ้อเจ้อต่อแล้วมันสนุกดีเหมือนกัน”

จุดเด่นของเล่มล่าสุดนี้ก็คือธีม ‘ความเชื่อ’ ซึ่งธนชาติได้เล่าเพิ่มเติมว่า 2 เล่มก่อนหน้าเป็นเหมือนรวมเรื่องสั้นในแต่ละห้วงเวลา แต่เล่มนี้ในภาพรวมมีแค่ไม่กี่เรื่องที่ไม่มีผี ที่เหลือมีผีเป็นส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องหมด เลยเป็นธีมคลุมให้เนื้อหาไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งยังคงลีลาการเขียนแบบเดิมไว้ คือความสั้น กระชับ ฉับไว ไม่อารัมภบทนาน เล่าเหมือนพล็อตหนังที่บอกให้รู้ว่าใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่ เท่านั้นพอ ซึ่งก็เป็นแนวทางการเขียนที่ผู้อ่านติดใจ และมีเสียงตอบรับมากมายบนโลกออนไลน์เลยทีเดียว
“ปกติเวลาผมเขียนหนังสือไปเล่มนึง ก็จะเสิร์ชหารีวิวใน Hashtag หนังสือตัวเอง เพื่อไปดูว่าเขาคิดยังไงกันบ้าง มันเจอเสียงตอบรับที่หลากหลาย ซึ่งคนทำงานเพราะคนเขียนหนังสือจริง ๆ มันโดดเดี่ยว เราทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ถ้าวันไหนคิดงานไม่ออกเราก็จะมีแค่ไฟล์ Word เปล่า ๆ มันไม่เหมือนงานประจำของเราที่ทำโฆษณา ออกกองถ่าย เจอคนเยอะ ๆ มีปัญหาอะไรจะมีคนอีก 50-60 คนช่วยกันแก้ หันซ้ายหันขวายังเจอใคร
แต่การเขียนหนังสือมันโดดเดี่ยว วันไหนที่เขียนดีก็จะรู้สึกดี วันไหนที่เขียนไม่ได้เราจะรู้สึก Self doubt สัด ๆ ฉะนั้นการอ่านรีวิวสำหรับเราคือการเชื่อมโยงกับผู้คนที่ชอบในเรื่องตลกร้ายของเราบ้าง หรือเจอโพสต์ส่งต่อหนังสือก็มี แต่สุดท้ายเดี๋ยวมันจะหาคนอ่านของมันที่จูนกับความนิสัยไม่ดีของมันเจอ”
แน่นอนว่าบรรยากาศภายในงาน Book Talk ครั้งนี้ทำให้คนเขียน และคนอ่านได้มาเชื่อมต่อกันจริง ๆ ธนชาติเห็นผู้อ่านตัวเป็น ๆ และในขณะเดียวกันผู้อ่านก็ได้รับรู้เรื่องราวระหว่างบรรทัดของเนื้อหาสุดห่ามฮาภายในหนังสือที่พวกเขารักด้วยเช่นกัน

Fun Fact: เหตุผลที่หนังสือเรื่องสั้นของเขาทั้ง 3 เล่ม มีการใส่คำว่า ‘Sad’ ลงในชื่อหนังสือทั้งหมดนั้น ธนชาติเฉลยว่าเป็นไอเดียที่ต่อยอดมาจากเล่มแรก You sadly smile in the profile picture (2562) ซึ่งเขาชอบคำว่า ‘Sadly Smile’ มาก ๆ เพราะเวลาดูหนังหรือ Music Video เขามักจะไม่เศร้ากับฉากที่เขารู้สึกว่ากำลังถูกสื่อบันเทิงชักจูงให้รู้สึกเช่นนั้น ทั้งฉากที่ตัวละครดูเศร้าไปเลย โหมดนตรีเศร้าหนัก ๆ
แต่ความรู้สึกของเขาจะทำงานต่อเมื่อตัวละครมีความเศร้าแต่พยายามบอกกับอีกฝ่ายว่าตัวเองโอเค อย่างเช่นความรู้สึกของตัวละครเซบาสเตียนในฉากสุดท้ายของเรื่อง La La Land (2559) จนเขาหยิบคำนี้มาใช้ และสำนักพิมพ์ก็เลือกเอาคำนี้มาเป็นจุดร่วมของบรรยากาศเนื้อหาภายในเล่มของซีรีส์เรื่องสั้นของธนชาตินั่นเอง