ย้อนกลับไปก่อนว่าในปี 2009 เศรษฐกิจซิมบับเวเคยพลิกจากการที่มีค่าเงินตราที่แกร่งยิ่งกว่าดอลลาร์สหรัฐ จนร่วงลงเหวถึงขนาดที่ว่าอัตราเงินเฟ้อของพวกเขาสูงถึง 79.6 พันล้านเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบต่อเดือนและสูงขึ้นไปถึง 8.97 หมื่นล้านล้านล้านเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบต่อปี โดยหายนะเริ่มจากการไล่คนขาวออกจากครอบครองพื้นที่และเปลี่ยนให้คนในประเทศถือผืนดินแผ่นนั้นแทน และให้พวกเขาทำเกษตรบนผืนดินแผ่นนั้น เป็นการแสดงถึงการต่อต้านการยึดอาณานิคมของรัฐฯ แต่หารู้ไม่ว่าคนที่รัฐบาลยื่นที่ดินให้นั้น ส่วนมากแล้วไม่มีความรู้ทางเกษตรเลยแม้แต่น้อย ทำให้ผลผลิตอาหารลดลงเป็นจำนวนมาก ที่ดินเหล่านั้นทำการเกษตรแทบไม่ได้สุดท้ายต้องโอนพื้นดินนั้นให้กับลิ่วล้อของประธานาธิบดีในขณะนั้นอย่าง รอเบิร์ต มูกาบี
นอกจากอุตสาหกรรมการเกษตรอยู่ในอาการร่อแร่แล้ว ธนาคารต่าง ๆ ก็ร่วงตามลงไปด้วย ส่งผลให้เหล่าเกษตรกรไม่สามารถขอกู้ยืมเงินทุนมาทำเกษตรต่อไปได้ ทำให้จากอาการร่อแร่กลายเป็นการพลิกคว่ำของอุตสาหกรรมไปเลย ผลผลิตก็หล่นอย่างต่อเนื่อง และเศรษฐกิจหล่นตามกันเหมือนโดมิโน่ อัตราการว่างงานพุ่งถึง 80% ค่าเฉลี่ยอายุของคนในประเทศก็ร่วง คนขาวที่โดนยึดที่ดินก็ไม่รู้จะอยู่ต่อไปทำไม พากันหลบหนีออกนอกประเทศเหมือนก๊อกน้ำที่เปิดค้างไว้โดยไม่มีการปิด ธนาคารกลางของซิมบับเวก็โทษการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา IMF และสหภาพยุโรป การทำงานของรัฐบาลที่พยายามกู้ชื่อตัวเองจากการที่พวกเขาพิมพ์เงินเพื่อสนับสนุนยุทธการทางทหารก็ยากขึ้นไปอีกเพราะการคว่ำบาตร อสังหาริมทรัพย์โดนระงับการดำเนินการ รวมถึงผู้คนที่เกี่ยวข้องกับรอเบิร์ต มูกาบี รวมไปถึงตัวมูกาบีเองก็ขึ้นบัญชีดำวีซ่า ค้าขายกับใครก็ไม่ได้ จนธนบัตรจาก 10 ดอลลาร์ซิมบับเวก็ทยานขึ้นไปจนถึง ร้อยล้านดอลลาร์ภายใน 1 ปี และจาก 1 ดอลล่าร์ซิมบับเวมีค่า 1.47 ดอลล่าร์สหรัฐในปี 1980 กลาย เป็นไม่ถึง 1 ในปีค.ศ. 2009 หลังจากนั้นพวกเขาก็เปลี่ยนไปใช้สกุลเงินอื่นเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจที่พังพินาศในตอนนั้น แต่พวกเขากำลังจะได้เจอประวัติศาสตร์ที่ซ้ำรอยอีกครั้ง
ในเดือนมิถุนายน 2019 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของซิมบับเวอย่าง อึมธูลี เอ็นกูบี (และเขายังดำรงตำแหน่งนี้อยู่ในปัจจุบัน) ได้ประกาศให้ประชาชนใช้สกุลเงินดอลลาร์อิเล็กทรอนิกส์แบบ Real-Time Gross Settlement หรือนั่นก็คือการใช้จ่ายเงินธนาคารที่มีอยู่ในบัญชีเราให้โอนเข้าออกผ่านธนาคารกลาง (ซึ่งประเทศไทยใช้ระบบนี้ในสกุลเงิน บาทเนต) เพื่อเอามาสู้กับการขาดเงินดอลล่าร์สหรัฐที่ประชาชนเปลี่ยนมาใช้เมื่อปี 2015 และเงินที่เฟ้อจากการที่รัฐบาลพยามปกป้องเศรษฐกิจตัวเองด้วยการขึ้นค่าเชื้อเพลิง ซึ่งสรุปได้สั้น ๆ ว่าพวกเขากลับมาใช้ดอลลาร์ซิมบับเวที่รีเซ็ตใหม่อีกครั้ง
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่ากลัวพอสมควร จากเดิมที่รัฐประกาศให้ 9 สกุลเงินเป็นสกุลเงินที่สามารถชำระหนี้ถูกต้องตามกฎหมาย ให้เหลือสกุลเงินเดียวในไม่กี่วัน ซึ่งการจะทำอะไรแบบนี้รัฐบาลจะต้องสร้างความเชื่อว่าสกุลเงินนี้ปลอดภัยพอที่จะใช้แลกเปลี่ยนได้ แต่รัฐบาลทำไม่สำเร็จ เพราะอัตราแลกเปลี่ยนในตลาดมืดกำหนดว่า 1 ดอลล่าร์สหรัฐจะแลกได้ 11 ดอลลาร์ซิมบับเว ซึ่งนั่นต่างจากรัฐบาลที่กำหนดอัตราไว้อยู่ 6.2 ดอลลาร์ซิมบับเวต่อ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ มันสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนไม่ได้เชื่อใจสกุลเงินใหม่ตัวนี้เลยแม้แต่น้อย
มิหนำซ้ำพวกเขายังต้องเจอปัญหาเดิมที่พวกเขาเคยเจอเมื่อ 10 ปีก่อนนั่นก็คืออัตราการผลิตร่วง และพวกเขาก็เจอปัญหาใหม่อย่างการขาดแคลนไฟฟ้าและเชื้อเพลิง พวกเขาสูญเสียเงินสองร้อยล้านดอลล่าร์สหรัฐจากการที่พวกเขาขาดแคลนไฟฟ้า 18 ชั่วโมงต่อวันเพื่อการผลิตในอุตสาหกรรม ค่าเชื้อเพลิงก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนพุ่งไปถึง 500% อัตราเงินเฟ้อก็พุ่งตามไปด้วยจนถึง 676% ในเดือนมีนาคม 2020 และยิ่งสองเหตุการณ์ใหญ่ระดับโลกอย่างการแพร่ระบาดของ COVID-19 และสงครามความขัดแย้องของรัสเซีย-ยูเครน ทำให้เงินของพวกเขายิ่งเฟ้อขึ้นไปอีก
จนกระทั่งในเดือนมกราคม 2024 อัตราเงินเฟ้อของซิมบับเวอยู่ที่ 1367% จากการรายงานของ Steve Hanke ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยจอนส์ฮอปกินส์ ส่วนรัฐบาลก็ใช้วิธีเปลี่ยนการวัดค่าเงินเฟ้อใหม่ถึงสองครั้งเมื่อปีที่แล้วเพื่อหลีกเลี่ยงการใช้เงินดอลลาร์สหรัฐให้ได้มากที่สุด ตามแผนเดิมของพวกเขา และสถานการณ์ของพวกเขาในตอนนี้คือค่าเงินของพวกเขามีค่าแค่ 1 ใน 3 จากค่าเดิมที่รัฐบาลเคยตั้งไว้ อ่อนตัวลงจากเดิม 73% ทำให้จากอัตราแลกเปลี่ยน 1 USD ต่อ ประมาณ 10,000 ZWD ในช่วงต้นปี 2024 เป็น 1 USD ต่อประมาณ 22,000 ZWD, รัฐบาลกำลังรีเซ็ตค่าเงินใหม่อีกครั้งโดยเปลี่ยนจากผ่านธนาคารกลางเป็นการแบ็กอัพด้วยทองและโทเคนดิจิตอลที่ชื่อว่า ZiG แทน ทั้งนี้แล้ว อึมธูลี เอ็นกูบี ยังทิ้งท้ายเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ว่าพวกเขาจะหาวิธีการทำให้ค่าเงินของพวกเขากลับมาคงที่ให้ได้มากที่สุดตามที่พวกเขาประกาศไว้เพราะพวกเขาจะหากระบวนการที่จะปรับให้ค่าเงินเฟ้อในเงินตราลดลงและทำให้ประกาศทางการเงินต่อไปของพวกเขาเป็นข่าวดีสำหรับทุกคน